วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2552

หุ่นดี สวยโดนใจด้วย 6 วิธี


หุ่นดี สวยโดนใจด้วย 6 วิธี
น้ำหนักส่วนเกินลดยังไงก็ไม่ลง นอกจากการควบคุมอาหารและออกกำลังกายแล้ว ยังมีวิธีที่สามที่ช่วยต่อกรกับไขมัน นั่นก็คือ "สู้ด้วยจิตใจ" กลอเรีย โทมัส ที่ปรึกษาด้านฟิตเนสบอก

6 Steps to a slimmer you

ในทางทฤษฏี การลดน้ำหนักไม่ใช่เรื่องยาก การกินอาหารที่มีคุณค่าครบถ้วนแต่พอประมาณ ออกกำลังกายเป็นประจำ จะช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ และสามารถควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมได้ แต่ดูเหมือนความเบื่อหน่าย ความเครียด และอารมณ์ที่สับสน ทำให้คุณอดใจไม่ไหว หยิบไอศกรีมดับเบิ้ลช็อกชิปใส่ปาก อันเดียวไม่พอ เผลอๆ ถึงสอง อาหารกับความรู้สึกเกี่ยวข้องกัน ดังนั้นตามหลักเหตุผลแล้ว หากคุณต้องการกำจัดน้ำหนักส่วนเกินแล้ว คุณต้องเอาชนะความอยากกินให้ได้

1.รู้จักจุดอ่อนของตัวเอง
การทำความรู้จักพฤติกรรมการลดน้ำหนักของตัวเอง ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี จงทำเครื่องหมายหน้าข้อความต่อไปนี้ที่ตรงกับคุณ :

• ฉันลงมือควบคุมอาหารวันจันทร์ พอวันพุธทุกอย่างก็กลับสู่อีหรอบเดิม
• กินช็อกโกแลตทั้งที อันเดียวไม่พอหรอก อย่างฉันต้องครึ่งกล่อง
• ฉันลดน้ำหนักเท่าไรก็ไม่ลงสักที
• เครื่องชั่งน้ำหนักที่อยู่ในห้องน้ำเป็นสิ่งที่ฉันขาดไม่ได้
• อาหารเป็นชีวิตจิตใจของฉัน
• ฉันต้องคอยควบคุมอาหารเพื่อลดน้ำหนักอยู่เป็นประจำ
• ฉันกินจุมาก
• ฉันติดอาหารบางอย่างงอมแงม ต้องกิน ขาดไม่ได้
• ฉันชอบกินตามใจปากตัวเอง
• ฉันกินได้เรื่อยๆ ทั้งวัน
• ฉันไม่มีเวลาออกกำลังกาย
• ฉันไม่สนว่าอาหารชนิดไหนที่ควรระมัดระวัง
• ฉันลดน้ำหนักมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ดูเหมือนน้ำหนักยิ่งเพิ่ม
• เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่น ฉันกินน้อย แต่พอกลับบ้าน กินไม่ยั้ง
• ฉันมักกินอาหารที่ลูกๆ กินเหลือทิ้งไว้
• กินให้อิ่ม อย่าให้เหลือ นี่คือสิ่งที่ฉันยึดถือ
• ฉันหลอกตัวเองเป็นประจำว่าอาหารที่กินไม่ทำให้อ้วน
• ฉันจะกินๆ เวลารู้สึกหดหู่หรือเครียด

สิ่งที่ควรทำ
มีเหตุผลมากมายที่ทำให้แผนควบคุมน้ำหนักของคุณล้มเหลว ไม่ว่าจะเป็นเพราะเบื่องานที่ทำ หรือกินเพราะต้องการดับความเครียด ซึ่งวิธีต่อไปนี้จะช่วยหยุดความล้มเหลวดังกล่าวได้ เริ่มจากประเมินสิ่งที่คุณทำมาก่อนหน้านี้ โดยการทำเครื่องหมายหน้าแบบสอบถามที่กล่าวมาข้างต้น เพื่อหาสาเหตุของความล้มเหลว เขียนสิ่งที่คุณพยายามทำก่อนหน้านี้เพื่อควบคุมน้ำหนัก โดยแบ่งออกเป็น 2 หัวข้อ หัวข้อแรกคือ "สิ่งที่ทำสำเร็จ" และ "สิ่งที่ทำไม่สำเร็จ" นึกถึงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นภายหลังการลดน้ำหนักล้มเหลว โดยคิดถึงผลในระยะสั้นและผลในระยะยาว จากนั้นไปที่ขั้นตอนที่ 2

2.ความมุ่งมั่นตั้งใจ? ลืมมันไปซะ!
การบอกกับตัวเองว่าอย่ากินนั่นกินนี่ วิธีนี้ไมได้ผล เพื่อหยุดตามใจปาก คุณต้องสร้างความสำนึกให้เกิดกับจิตส่วนลึกของคุณก่อน

หยุดตำหนิตัวเองที่เผลอไปกินเอแคลช็อกโกแลตเข้า ความมุ่งมั่นตั้งใจหามีประโยชน์ไม่ ในเวลาที่คุณกำลังลดน้ำหนัก นั่นเพราะไม่ว่าคุณจะบอกกับจิตสำนึกของคุณมากแค่ไหน คุณต้องทำให้จิตใต้สำนึกเกิดความมุ่งมั่นเสียก่อน สมองของคุณตอบสนองต่อคำแนะนำที่คุณบอก แต่จะลบคำปฏิเสธทิ้ง ดังนั้นถึงคุณจะบอกกับตัวเองว่า "ฉันต้องไม่กินขนมพุดดิ้งชิ้นนั้นเพิ่มอีก ฉันต้องไม่กินอีกเป็นอันขาด" คุณรู้ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้น ให้ลบคำว่า "ไม่" ออกแล้วคุณจะได้คำตอบ จะเห็นว่าความมุ่งมั่นตั้งใจไม่สามารถครอบงำจิตใต้สำนึก

สิ่งที่ควรทำ
พิจารณาชีวิตแต่ละด้านของคุณ มีด้านใดบ้างที่ความมุ่งมั่นตั้งใจให้ผลกับคุณ เกิดอะไรขึ้นเวลาที่คุณต้องการจำกัดอาหารบางอย่าง คุณสามารถปฏิเสธขนมขบเคี้ยวในงานปาร์ตี้หรือยอมทิ้งอาหารในจานเพราะอิ่มแปล้ได้หรือไม่ จงซื่อสัตย์กับตัวเองด้วยการเขียนคำตอบที่แท้จริงลงไป คุณอาจพบว่าความมุ่งมั่นตั้งใจช่วยอะไรไม่ได้มากนัก เวลาคุณอยากกินอาหารมากๆ ถึงเวลาที่คุณน่าจะมองหาวิธีอื่นที่มีประโยชน์มากกว่านี้ดีกว่า

3.สังเกตนิสัยที่ไม่ดี
ประสบการณ์การกินในวัยเด็ก มีอิทธิพลต่อการเลือกกินในตอนโตเป็นผู้ใหญ่ ดังนั้นจงระมัดระวังเรื่องอาหารการกินของคุณให้ดี

รูปแบบการกินอาหารของเรามักได้รับอิทธิพลมาจากพ่อแม่และคนรอบข้าง ถ้าคุณถูกเลี้ยงให้โตมากับการกินเบอร์เกอร์และมันฝรั่งทอดกรอบ ย่อมอาจทำให้คุณชอบกินอาหารประเภทนี้เมื่อโตขึ้น ถ้าคุณถูกเลี้ยงให้โตมากับการกินผักที่ปลูกเองในบ้าน ก็ย่อมทำให้คุณมีแนวโน้มกินผักไปตลอดชีวิต การกินอาหารพร้อมหน้ากันทั้งครอบครัวอาจเป็นช่วงเวลาสบายๆ ผ่อนคลาย หรืออาจเป็นเวลาของการมีปากเสียง ซึ่งพบได้บ่อยตอนคุณเป็นเด็ก เวลากินข้าวหมดจาน คุณจะได้ขนมเป็นรางวัล หรือถูกไล่ให้ไปนอนโดยไม่มีข้าวตกถึงท้องเวลาดื้อ เมื่อเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงมาถึง เพราะคุณโตเป็นผู้ใหญ่ คุณก็มักพยายามทำอะไรที่ตรงข้ามกับประสบการณ์ที่ยังคงอยู่ในความทรงจำ

สิ่งที่ควรทำ
ตรวจสอบนิสัยการกินภายในจิตใต้สำนึกของคุณ คุณเป็นคนประเภทไหน กินอะไรไม่ระวัง หรือกินจนเกลี้ยงจาน ไม่เหลือซักเม็ด ถึงแม้จะกินอิ่มแล้วก็ตาม คุณอาจขอให้แฟน ญาติพี่น้อง หรือเพื่อนคอยเตือนสติคุณ เวลาคุณใช้จิตใต้สำนึกเป็นตัวตัดสินใจเรื่องการกิน เช่น การหยิบคุกกี้ในกระป๋องมากกินโดยไม่คิด

4.ใช้จินตนาการ
ใช้ประโยชน์จากจิตใต้สำนึกของคุณและค่อยๆ นำการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ชีวิตประจำวัน

เวลาที่คุณรู้สึกสงบผ่อนคลายอย่างเต็มที่ จิตใต้สำนึกมีความสำคัญ ดังนั้นจงเปิดรับการเปลี่ยนแปลง และคุณสามารถบงการจิตใต้สำนึกให้ทำตามฝันและแรงบันดาลใจของคุณได้ การฝึกทำสมาธิเป็นประจำ จะช่วยให้คุณทำจิตใจให้สงบเยือกเย็นได้ไม่ยาก ในข้อเท็จจริงแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปกติอย่างการฝันกลางวัน หรือช่วงเวลาก่อนนอนหรือหลังตื่นนอน ถือเป็นช่วงที่จิตใจรู้สึกผ่อนคลาย

สิ่งที่ควรทำ
นั่งในท่าสบายๆ บอกกล้ามเนื้อแต่ละส่วนให้ผ่อนคลาย กระทั่งกล้ามเนื้อแต่ละส่วนรู้สึกหนัก จินตนาการว่าตัวคุณนั่งอยู่ชั้นบนสุดของบันได นับถอยหลังจาก 20 ลงไป หายใจเข้าลึกๆ ระหว่างถัดบันได้ลงมาแต่ละขั้น จนถึงขั้นสุดท้าย กำหนดสมาธิไปที่ลมหายใจเข้าออก กระทั่งจิตใจสงบผ่อนคลายอย่างเต็มที่ คราวนี้ให้เลือกข้อความจากแบบสอบถามที่คุณทำเครื่องหมายไว้ขึ้นมา 1 หัวข้อ คุณอยากจินตนาการอย่างไร ตัวอย่างเช่น "ฉันลดน้ำหนักเท่าไรก็ไม่ลงสักที" ให้บอกกับตัวเองแทนว่า "ฉันลดน้ำหนักได้ตามที่ต้องการ" หลับตาลงพร้อมนำข้อความนี้มาจินตนาการเป็นภาพ นึกภาพตัวคุณเองในแบบที่คุณอยากเป็น คุณเห็นตัวเองลดน้ำหนักได้สำเร็จ เติมรายละเอียดต่างๆ สีสันเสียง และความรู้สึกให้กับภาพในจินตนาการของคุณ ดื่มด่ำความสุขกับภาพบวกนี้ตราบเท่าที่คุณต้องการ จากนั้นลืมตาขึ้น

5.เรียนรู้ที่จะรักตัวเอง
มอบความรักให้ร่างกายของคุณ พุ่งเป้าที่จะทำให้หุ่นดีและร่างกายแข็งแรง โดยการตั้งเป้าหมายที่ทำได้จริง

คนส่วนใหญ่ลดน้ำหนักไม่ได้ผล เพราะอยากมีหุ่นดีในแบบที่เป็นไปไม่ได้ ถ้าคุณมีหุ่นตัน ลำตัวหนา การควบคุมอาหาร วิ่ง ว่ายน้ำ หรือไม่ว่าจะวิธีใดในโลกนี้ ก็ไม่อาจทำให้รูปร่างของคุณเหมือนนางแบบ แอล แมคเฟอร์สัน ไปได้ยิ่งคุณพยายามจะเป็นมากเท่าไร โอกาสที่จะลดน้ำหนักให้ได้ตามเป้าหมายก็มีน้อยเท่านั้น น้ำหนักมีความสัมพันธ์กับภาพลักษณ์ และเมื่อคุณยอมรับรูปร่างตามธรรมชาติของคุณ คุณก็สามารถทำให้ตัวเองดูดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

สิ่งที่ควรทำ
ใช้เวลา 5 นาทีในตอนเช้ากล่าวย้ำข้อความที่เป็นบวกกับตัวเอง เช่น "ฉันชอบหุ่นตัวเอง" หรือ "ฉันดีใจที่น้ำหนักลดลงใกล้เคียงกับที่ฉันตั้งใจไว้" การทำเช่นนี้อาจทำให้คุณรู้สึกแปลกๆ ในตอนต้น แต่หลังจากนั้นสักพัก คุณจะเชื่อในสิ่งที่คุณบอกกับตัวเอง

6.ทำวันนี้ให้ดี
เพื่อให้การลดน้ำหนักประสบความสำเร็จ คุณต้องจัดการกับนิสัยที่ไม่ดีของคุณ และรูปแบบการกินที่ไม่ดีในแต่ละวัน

คุณกินของว่างจำพวกมันฝรั่งทอดกรอบและช็อกโกแลต มาเกือบตลอดทั้งชีวิต การบอกตัวเองว่าจะไม่แตะต้องของว่างไขมันสูงพวกนี้อีก จึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ อย่าบอกตัวเองว่าวันนี้คุณจะไม่กินมันฝรั่งทอดกรอบหรือช็อกโกแลต เพราะจิตใต้สำนึกของคุณตอบสนองต่อเวลาในปัจจุบันได้ดีที่สุด แต่จงกล่าวข้อความเหล่านี้แทน เช่น "ทุกวันนี้ฉันกำลังเดินหน้าลดน้ำหนักเพื่อให้ใส่ยีนส์ตัวใหม่ได้ ทุกวันนี้ฉันระมัดระวังเรื่องอาหารการกินอย่างมาก และฉันรู้ว่าฉันควรหยุดกินทันทีที่รู้สึกอิ่มและหายหิว"

สิ่งที่ควรทำ
จดจำเป้าหมายให้ขึ้นใจ ลองหาคำตอบดูว่า การไปให้ถึงน้ำหนักที่ตั้งเป้าไว้ต้องใช้เวลานานแค่ไหน จำไว้ว่าองค์การอนามัยโลก (The World Health Organization) แนะให้ลดน้ำหนักได้ไม่เกิน 1 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ จากนั้นกำหนดเป้าหมายขั้นต่อไปที่เล็กลง อันจะนำไปสู่จุดหมายได้สำเร็จง่ายขึ้น วิธีนี้จะทำให้คุณเดินไปตามเป้าที่กำหนดไว้โดยไม่สะเปะสะปะ และทุกครั้งที่คุณเดินไปถึงเป้าหมายนั้น ให้คุณกล่าวชมเชยตัวเอง จากนั้นเดินหน้าสู่เป้าหมายต่อไป


ขอบคุณที่มาบทความจาก www.healthcorners.com

วันพุธที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ล้างพิษด้วยผลไม้


ล้างพิษด้วยผลไม้
ผลไม้ที่ใช้ล้างพิษในร่างกาย เหล่านี้หาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาดทั่วไปและราคาไม่แพงด้วยค่ะ





แอปเปิ้ล
เป็นผลไม้ที่ดีที่สุดสำหรับการขจัดของเสียออกจากร่างกาย สารในแอปเปิ้ลจะช่วยนำสารพิษไปกำจัดทิ้ง ทั้งยังป้องกันไม่ให้โปรตีนในลำไส้เกิดการบูดเน่า แอปเปิ้ลยังมีเส้นใยมากจะทำหน้าที่เป็นไม้กวาด ทำความสะอาดลำไส้ช่วยให้ตับและระบบย่อยทำงานได้ดียิ่งขึ้น กระตุ้นน้ำย่อย นอกจากนี้ยังมีวิตามินและเกลือแร่ และยังเหมาะกับผู้ที่กำลังลดน้ำหนักอีกด้วยค่ะ



องุ่น
เป็นสารฟอกล้างสำหรับผิวหนัง ตับ ลำไส้และไตโดยเฉพาะ เนื่องจากองุ่นมีคุณสมบัติรักษาน้ำมูกที่จะออกมาจากเยื่อเมือกต่างๆในร่างกาย องุ่นยังให้พลังงานสูงและนำไปใช้ได้ง่าย เกลือแร่อุดม ดังนั้นจึงช่วยบำรุงเลือดและซ่อมสร้างเซลล์ในร่างกาย



สับปะรด
มีเอนไซม์โปรเมลินสูง เอนไซม์ตัวนี้จะช่วยการทำงานของกรดไฮโดรคลอริกในกระเพาะ และช่วยทำให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัวได้เร็วขึ้น เชื่อกันว่าสับปะรดช่วยรักษาอาการอักเสบในทางเดินอาหาร ช่วยในการซ่อมแซมส่วนต่างๆที่สึกหรอ ช่วยการทำงานของต่อมไร้ท่อและช่วยกำจัดน้ำมูก



มะละกอ มะม่วง แตงโม
ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันแต่มะม่วงมีสารสำคัญน้อยกว่ามะละกอเล็กน้อย ผลไม้ทั้งสองชนิดมีเอนไซม์ชื่อปาเปน ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับน้ำย่อยเปปซินในกระเพาะอาหาร ดังนั้นมันจึงช่วยทำให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัวได้เร็วขึ้นเช่นเดียวกับโปรเมลิน ทั้งมะละกอและมะม่วงดีสำหรับทำความสะอาดลำไส้และช่วยย่อยอาหาร เชื่อกันว่ามะละกอยังช่วยลดอาการซึมเศร้าได้อีกด้วย แตงโมมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ดังนั้นจึงช่วยฟอกล้างร่างกายได้เป็นอย่างดี ใช้รักษาแผลในกระเพาะ ลดความดันเลือดสูง ทำให้สบายท้อง น้ำคั้นจากเปลือกของแตงโมและเมล็ด หากดื่มก่อนกินเนื้อแตงโมในมื้ออาหารสักครึ่งชั่วโมง จะทำให้ได้ประโยชน์สูงสุด เนื่องจากเปลือกของแตงโมอุดมด้วยคลอโรฟิลล์และเมล็ดอุดมด้วยวิตามิน





ขอบคุณที่มาจาก TTTonline.com

รักษาสิว ด้วยว่านหางจระเข้


รักษาสิว ด้วยว่านหางจระเข้



ว่านหางจระเข้ คุณค่าของว่านหางจระเข้มีมากมายในเรื่องของความงาม ว่านหางจระเข้ช่วยให้ผิวพรรณผุดผ่อง ขจัดสิว และลบรอยจุดด่างดำ เราสามารถใช้ว่านหางจระเข้เพื่อบำรุงผิวได้โดยตรง



วิธีทำ โดยใช้แต่เมือกวุ้นสีขาวใสที่อยู่ภายใน แต่ก่อนใช้ควรทดสอบก่อนว่าจะเกิดอาการแพ้หรือไม่ โดยใช้น้ำจากวุ้นสีขาวของว่านหางจระเข้ ทาบริเวณโคนหูแล้วทิ้งไว้สักครู่ ถ้าไม่เกิดเป็นผื่นแดง ก็สามารถใช้ได้ นอกจากนี้ยังสามารถใช้ว่านหางจระเข้ทาบริเวณหัวสิว เพื่อให้สิวแห้งเร็ว และว่านหางจระเข้ยังช่วยลดความมันของผิวหน้าได้โดยไม่ทำให้ผิวแห้งตึงอีกด้วย



ที่มาจาก Lisa

แคลเซียม กับความต้องการของคนต่างวัย


แคลเซียม กับความต้องการของคนต่างวัย
เชื่อว่าทุกคนคงรู้ถึงคุณประโยชน์ของ แคลเซียม เป็นอย่างดีแล้ว ว่ามีผลดีต่อร่างกายทช่วยให้กระดูกแข็งแรง และเมื่อเร็วๆนี้มีงานวิจัยที่พบว่าแคลเซียมสามารถช่วยต่อต้านได้อย่างดีต่อโรคความดันโลหิตสูง อาการหัวใจกำเริบ อาการปวดก่อนมีประจำเดือนและมะเร็งลำไส้ แต่คนส่วนน้อยมักละเลยว่าการได้รับแคลเซียมต่อวันนั้นย่อมต้องคำนึงถึงวัยเป็นสำคัญด้วย ดังนั้น wp จึงมีข้อมูลมานำเสนอให้คุณผู้อ่านได้ทราบกันค่ะ


หญิงตั้งครรภ์
สำหรับหญิงมีครรภ์แล้ว แคลเซียม นับได้ว่าเป็นแร่ธาตุที่สำคัญต่อสภาวะการตั้งครรภ์อย่างมาก ควรได้รับ 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน จำเป็นต้องได้รับมากกว่าคนธรรมดาเป็นพิเศษ เนื่องจากจะต้องถ่ายทอดแร่ธาตุดังกล่าวสู่ลูกเพื่อการพัฒนาโครงสร้างร่างกายของทารกในครรภ์ ดังนั้นหญิงมีครรภ์จึงมีโอกาสเสี่ยงสูงที่จะขาดแคลน แคลเซียม นอกจากจะช่วยให้พัฒนาการเติบโตของทารกในครรภ์เป็นปกติแล้ว ยังมีส่วนช่วยรักษาเสถียรสภาพความหนาแน่นกระดูกในแม่ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเกี่ยวกระดูกหรือโรค กระดูกพรุน ในภายหลังได้

วัยเด็ก
เด็กๆ ต้องการ แคลเซียม มากกว่าวัยผู้ใหญ่และวัยสูงอายุ เด็ก (1-10 ปี) ควรได้รับ 800 – 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน เพื่อนำมาเสริมสร้างความแข็งแรงให้แก่กระดูกและฟัน และส่วนอื่นๆ เพื่อใช้เป็นโครงสร้างของร่างกาย โดยการสะสม แคลเซียม ในเด็กที่หัดพูดจะช้าแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในวัยหนุ่มสาว ซึ่งจากการศึกษาพบว่าถ้าปริมาณ แคลเซียม ในร่างกายเด็กต่ำ จะทำให้ขบวนการสะสมเกลือแร่ในกระดูกและความหนาแน่นของกระดูกต่ำ เป็นผลให้เกิดโรคกระดูกอ่อนหรือโรคกระดูกค่อมงอได้ สิ่งที่สำคัญของช่วงอายุนี้คือ การพัฒนารูปแบบการบริโภคให้สอดคล้องกับระดับ แคลเซียม ที่ร่างกายต้องการให้เพียงพอ เพื่อพัฒนาความหนาแน่นของกระดูก ให้การเติบโตของเด็กเป็นปกติ อีกทั้งยังเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงการเป็นโรคเกี่ยวกับกระดูกในช่วงต่อไปของชีวิตได้

วัยหนุ่มสาว
จากการศึกษาวิจัยแสดงว่า ช่วยอายุ 11-24 ปี เป็นช่วงที่ร่างกายดำเนินขบวนการก่อรูปกระดูก โดยถ้าร่างกายได้รับ แคลเซียม ในปริมาณที่ต่ำกว่าร่างกายต้องการ จะก่อให้เกิดปัญหาตามมาในภายหลังซึ่งถ้าขาดอย่างร้ายแรงจะก่อให้เกิดโรคกระดูกอ่อน มีอาการเจ็บกระดูก เจ็บกล้ามเนื้อ และเมื่อประสบกับการกระดูกหัก กระดูกจะสมานให้เหมือนเดิมได้ช้า ควรได้รับ 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน สิ่งสำคัญคือ การรักษาระดับการบริโภคอาหารให้สอดคล้องกับระดับ แคลเซียม ที่ต้องการเพื่อป้องกันโรคเกี่ยวกับกระดูก ถ้าจะต้องมีการสูญเสียไปในภายหลังของช่วงชีวิต โดยถ้าเราได้รับ แคลเซียม ตั้งแต่อยู่ในวัยหนุ่มสาวหรือกลางคนอย่างสม่ำเสมอและพอเพียง อายุการสึกหรือผุกร่อนตามธรรมชาติก็จะยืดออกไปได้อีกนานกว่าคนที่รับแคลเซียมไม่เพียงพอ

วัยกลางคนถึงวัยสูงอายุ
คนเราปกติจะมีโอกาสสูญเสีย แคลเซียม จากกระดูกเมื่อเรามีอายุมากขึ้น เพราะว่าเมื่ออายุเกินกว่า 30 ปีแล้ว ร่างกายจะไม่สะสม แคลเซียม อีกต่อไป โอกาสเผชิญกับโรคเกี่ยวกับกระดูกจะสูงถ้าร่างกายไม่ได้รับ แคลเซียมอย่างเพียงพอ ซึ่งควรได้รับ 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงวัยหมดประจำเดือนซึ่งการศึกษาพบว่าร่างกายจะสูญเสียกระดูกในช่วงประมาณ 5-6 ปีแรกหลังจากหมดประจำเดือน เนื่องจากการลดลงของฮอร์โมน oestrogens และประสิทธิภาพในการสร้าง Vitamin D ก็ลดลงตามวัยที่เพิ่มมากขึ้น จึงมีแนวโน้มจะเป็นโรค กระดูกพรุนสูง ดังนั้นคนในวัยสูงอายุที่มีการเสริม แคลเซียม ให้กับกระดูกอย่างเพียงพอ จะช่วยยับยั้งการสูญเสียกระดูกในช่วงนี้ได้ การเผชิญกับการผุกร่อนของกระดูกจะน้อยลง ความเสี่ยงที่ต้องเผชิญกับโรคที่เกี่ยวกับกระดูกเมื่อย่างเข้าสู่วัยทองก็น้อยลงหรืออาจไม่เกิดขึ้นเลยก็ว่าได้


ขอบคุณที่มาบทความจาก woman plus

คลิป วิดีโอ : การดูแลเด็กมีไข้

คลิป วิดีโอ : การดูแลเด็กมีไข้

คลิป วิดีโอ : การดูแลเด็กมีไข้

วิธีป้องกันตัวจากไข้หวัด 2009


วิธีป้องกันตัวจากไข้หวัด 2009
ไข้หวัดใหญ่ 2009 ระบาดยังไม่หยุด ลักษณะอาการไม่รุนแรง ใกล้เคียงกันกับไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เดิมที่เกิดขึ้นตามปกติ อัตราตายต่ำ อาการป่วยคล้ายกับไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล อาการ ไข้หวัดใหญ่ 2009

การติดต่อเหมือนกัน คือมีไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก ปวดเมื่อยเนื้อตัว

ที่ที่พบว่าทำให้ติดเชื้อได้มากที่สุด คือบ้านและโรงเรียน เพราะการติดเชื้อมีปัจจัยสำคัญคือ ต้องใกล้ชิดและสัมผัสกันประมาณ 8 ชั่วโมง หากแค่เดินผ่านกันหรืออยู่ในสถานที่ปลอดโปร่ง โอกาสติดเชื้อมีน้อยมาก

ที่สำคัญพบว่าผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ มีอาการน้อย บางรายมีอาการน้อยมากจนไม่รู้ว่าป่วย ร้อยละ 95 สามารถจัดการเชื้อโรคได้ด้วยตัวเอง ดังนั้นไม่ควรตื่นตระหนกและปฏิบัติตามคำแนะนำ



กระทรวงสาธารณสุขได้ออกคำแนะนำ ดังนี้


หากป่วยเล็กน้อย ควรหยุดพักเพื่อรักษาตัวที่บ้าน พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมากๆ อาการจะหายเองได้ภายใน 2-3 วัน

สวมหน้ากากอนามัยป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ ปิดปากและจมูกเวลาไอหรือจามด้วยกระดาษทิชชูหรือแขนเสื้อของตนเอง

ล้างมือด้วยน้ำและสบู่หรือแอลกอฮอล์เจลบ่อยๆ แยกห้องจากผู้อื่น ไม่ใช้ของร่วมกัน

สำหรับสถานศึกษา หากพบเด็กป่วยด้วยไข้หวัดใหญ่ต่อเนื่อง ตั้งแต่ 3 คนในห้องเรียนเดียว ให้แจ้งต่อเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่ เพื่อตรวจสอบและควบคุมสถานการณ์

สำหรับผู้เดินทางกลับจากต่างประเทศ ควรติดตามอาการของตนเอง 7 วัน

โดยในระยะ 3 วันแรกควรพักอยู่ที่บ้านก่อนไปโรงเรียน มหาวิทยาลัย หรือสถานศึกษา หรือเข้าร่วมกิจกรรมอื่นๆ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น

ผู้ป่วยรับประทานยาลดไข้ เช่นพาราเซตามอล (ห้ามใช้ยาแอสไพริน) และยารักษาตามอาการ เช่น ยาละลายเสมหะ ยาลดน้ำมูก ตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร

ไข้หวัดใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส ไม่จำเป็นต้องรับประทานยาปฏิชีวนะ ยกเว้นพบเชื้อแบคทีเรียและแพทย์สั่ง

ให้เช็ดตัวลดไข้ด้วยน้ำสะอาดที่ไม่เย็น ดื่มน้ำสะอาดและน้ำผลไม้มากๆ งดดื่มน้ำเย็นจัด พยายามรับประทานอาหารอ่อนๆ รสไม่จัด เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม ไข่ ผัก และผลไม้ให้พอเพียง

นอนพักผ่อนมากๆ ในห้องที่อากาศไม่เย็นเกินไป และมีอากาศถ่ายเทสะดวก

หากอาการป่วยรุนแรงขึ้น เช่น หายใจลำบาก หอบเหนื่อย อาเจียนมาก ซึม ควรรีบไปพบแพทย์ทันที แจ้งประวัติการเดินทางหรือบุคคลใกล้ชิดให้แพทย์ทราบ

ข้อควรระวัง คือกลุ่มผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยที่มีโรคเรื้อรังประจำตัว จะมีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนมากกว่าปกติ

ต้องหมั่นคอยสังเกตอาการไว้ตลอด






ขอบคุณเนื้อหาข่าวจาก ข่าวสด

อาหาร 8 ชนิดสร้างภูมิสู้...หวัด !!


อาหาร 8 ชนิดสร้างภูมิสู้...หวัด !!
การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์โดยเฉพาะอาหาร 8 ชนิดดังต่อไปนี้ที่เชื่อว่าอาจให้ผลในการช่วยเพิ่มภูมิต้านทานป้องกันหรือลดความรุนแรงของหวัด ประกอบด้วย

1. อาหารรสเผ็ดรวมทั้งเครื่องเทศ เช่น กระเทียม พริก ลดอาการคัดจมูก ช่วยให้หายใจโล่งขึ้น

2. กระเทียม ช่วยลดอาการหวัด จะเติมลงในอาหารหรือเคี้ยวสดๆ วันละ 1 - 2 กลีบก็ได้

3. ดื่มน้ำมากๆ แทนที่จะดื่มกาแฟ น้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มที่มีรสหวาน อาจดื่มน้ำผลไม้คั้นสดบ้างเพื่อเสริมวิตามินซี เครื่องดื่มร้อนที่ช่วยได้ เช่น ชา น้ำมะนาวอุ่นๆ จะช่วยลดเสมหะได้

4. ซุปไก่ร้อนๆ ช่วยลดอาการคัดจมูก อาจเติมผักหลายๆ สี เพื่อเพิ่มสารแอนติออกซิแดนต์ ทำให้ร่างกายแข็งแรง มีสุขภาพดี ซุปไก่ที่ผ่านกระบวนการตุ๋นเคี่ยวนานๆ จนโปรตีนย่อยสลายเป็นไดเปปไทด์ อาจช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ช่วยให้ร่างกายสดชื่น และยังให้โปรตีนที่ดีต่อร่างกายด้วย

5. สารต่อต้านอนุมูลอิสระ เช่น เบต้าแคโรทีน (วิตามินเอ) วิตามินซี วิตามินอี ช่วยกำจัดสิ่งแปลกปลอมหรือเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย ป้องกันการติดเชื้อ ผักและผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น แครอท ผักใบเขียวจัด ส้ม ฝรั่ง องุ่น แคนตาลูป มะละกอสุก เป็นต้น

6. ผลไม้ตระกูลส้ม ซึ่งมีวิตามินซีสูง ช่วยลดความเสี่ยงการติดหวัดโดยเฉพาะผู้ที่สูบบุหรี่หรืออยู่ในแวดวงคนสูบบุหรี่ บุหรี่เองเพิ่มความเสี่ยงการเป็นหวัดและทำให้ร่างกายต้องการวิตามินซีสูงขึ้น

7. อาหารอื่นๆ ที่เป็นแหล่งวิตามินซี เช่น ฝรั่ง พริกหวาน สตรอเบอร์รี่ สับปะรด กะหล่ำปลี ล้วนแล้วแต่ช่วยเพิ่มภูมิต้านทาน

8. ขิง ช่วยลดอาการหวัดและป้องกันหวัด น้ำขิงร้อนๆ ผสมกระเทียม 2 - 3 กลีบ ช่วยให้ระบบหายใจทำงานคล่องขึ้น



ที่มาเนื้อหาจาก kroobannok.com

9 เคล็ดลับต้านหวัด


9 เคล็ดลับต้านหวัด
แม้หลายคนจะคิดว่าเมื่ออากาศเปลี่ยนแปลง เราก็มีโอกาสเป็นหวัดได้เป็นธรรมดา แต่เชื่อไหมคะว่าหากแข็งแรงเต็มร้อยแล้ว ไม่ว่าอากาศจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร หวัดก็ไม่สามารถทำให้เราล้มหมอนนอนเสื่อกันได้ง่ายๆ เรามาดูแลสุขภาพต้านหวัดด้วยวิธีต่อไปนี้กันค่ะ



นอนหลับให้เพียงพอ มีการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่าการนอนหลับไม่เพียงพอทำให้ จำนวนเซลล์ในร่างกายที่ทำหน้าที่ต่อต้านเชื้อโรคต่างๆ ลดลง จึงควรนอนหลับสนิททุกๆ วัน


ออกกำลังกาย ชอบออกกำลังกายแบบไหน เลือกได้ตามความชอบและความถนัด แล้วทำอย่างต่อเนื่องวันละครึ่งชั่วโมงช่วยเพิ่มเซลล์ที่ป้องกันโรคภัยไข้เจ็บได้มากมาย


ล้างมือด้วยสบู่ โดยใส่ใจการล้างมือเป็นพิเศษก่อนรับประทานอาหาร หลังกลับนอกบ้าน หลังจากใช้ห้องน้ำสาธารณะ สัมผัสกับสัตว์ และหลังการไอหรือจาม


แยกเก็บแปรงสีฟัน เมื่อมีคนในครอบครัวป่วย ให้แยกเก็บแปรงสีฟันของคนป่วยออกจากของคนอื่นๆ หลังจากหายป่วยแล้ว ให้จุ่มแปรงสีฟันในน้ำเดือดเพื่อฆ่าเชื้อโรค


ซักผ้าเช็ดมือ ผ้าเช็ดมือต้องสะอาดเสมอ แนะนำให้ซักในน้ำร้อนทุก 3-4 วัน โดยเฉพาะในช่วงที่เป็นหวัดกันมาก


ดื่มน้ำให้เพียงพอ ช่วยป้องกันอาการป่วยได้ เนื่องจากน้ำทำให้เนื้อเยื่อต่างๆ ในระบบทางเดินหายใจชุ่มชื้น ซึ่งช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อโรคฝังตัว และทำให้ระบบภูมิชีวิตทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ


เปิดหน้าต่าง เพื่อให้มีอากาศถ่ายเท ซึ่งทำให้ร่างกายได้รับสารจากธรรมชาติในอากาศไปพร้อมๆ กับไล่เชื้อโรคที่มีอยู่ด้วย ทำให้ระบบภูมิชีวิตแข็งแรงขึ้น


ผ่อนคลาย การทำสมาธิ หลับตา หายใจลึกๆ คิดถึงความสุข ช่วยลดความเครียด ทำให้ร่างกายไม่ป่วยง่าย


วิตามินซีจากธรรมชาติ แครอท กีวี ลูกเกด ถั่วเขียว ส้ม สตรอว์เบอร์รี่ บร็อคโคลี่ ดอกกะหล่ำ กะหล่ำปลีมีสารพฤกษเคมีอย่างวิตามินซีและแคโรทีนอยด์ ที่ช่วยเพิ่มภูมิชีวิตได้

ดูแลรอบด้าน ต้านหวัดได้แน่นอนค่ะ



นิตยสารชีวจิต ฉบับที่ 268

กินอย่างไรให้เผาผลาญดี

กินอย่างไรให้เผาผลาญดี



สิ่งที่ฟ้องว่าอัตราการเผาผลาญพลังงานในร่างกายเริ่มจะลดลงไปตามวัย ได้แก่ น้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้น และเซลลูไลท์ตามหน้าท้อง แขน ขา สะโพก ซึ่งการออกกำลังกายถือเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเร่งเผาผลาญพลังงานส่วนเกินเหล่านี้ แต่วิธีหนึ่งที่สามารถช่วยคุณได้อีกแรงก็คือการกินอาหารอย่างถูกต้องค่ะ



ลดแป้ง น้ำตาล ไขมัน - การกินอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูงมากๆ จะทำให้ปริมาณอินซูลินในเลือดเพิ่มขึ้นซึ่งส่งผลให้การเผาผลาญไขมันในร่างกายลดลง นอกจากนี้การกินไขมันมากก็ยังทำให้ระบบการเผาผลาญพลังงานเชื่องช้าลงด้วย



เน้นโปรตีนและผัก - การย่อยอาหารประเภทโปรตีนจากเนื้อสัตว์เป็นกิจกรรมที่ร่างกายต้องใช้พลังงานอย่างมาก ดังนั้นการกินเนื้อปลา เนื้อหมูไม่ติดมัน เนื้อไก่ไม่ติดหนัง ฯลฯ จะช่วยเร่งอัตราการเผาผลาญพลังงานได้มากขึ้น แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าโปรตีนที่เหลือจากการใช้งานจะกลายเป็นไขมัน ดังนั้นอย่ากินมากจนเกินไปค่ะ อ้อ...ผักและผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงก็ขาดไม่ได้นะคะ เพราะวิตามินซีมีส่วนช่วยเร่งการเผาผลาญพลังงานด้วย



กินน้อยแต่บ่อยขึ้น - การกินมื้อละน้อยโดยแบ่งออกเป็นมื้อย่อยๆ หลายมื้อ เช่น เช้า สาย กลางวัน บ่าย เย็น เป็นการกระตุ้นให้ร่างกายมีกิจกรรมย่อยอาหารและเผาผลาญพลังงานตลอดทั้งวันอย่างต่อเนื่อง



ดื่มน้ำให้มาก - เพราะร่างกายต้องใช้น้ำในกิจกรรมย่อยอาหาร การดื่มน้อยอาจทำให้การทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย รวมทั้งระบบเผาผลาญพลังงานการติดขัดได้





บทความจากนิตยสาร WOMAN PLUS

มะเขือเทศกับนม สูตรสวยจากธรรมชาติ


มะเขือเทศกับนม สูตรสวยจากธรรมชาติ

ขึ้นชื่อว่า “มะเขือเทศ” ไม่เพียงแต่อร่อยแต่ยังเป็นแหล่งสำคัญของวิตามินเอและบี รวมทั้งแร่ธาตุที่สำคัญต่อร่างกาย แถมยังทำให้ผิวสวยอีกด้วย วันนี้เกร็ดความรู้มีเคล็ดลับเกี่ยวกับมะเขือเทศมาฝาก....

กรดในมะเขือเทศ สามารถนำมาทำโลชั่นทำความสะอาดผิวได้ เพราะมีฤทธิ์ช่วยในการขัดลอกเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน โดยเฉพาะเมื่อนำมาผสมกับนมจะมีกรดแล็กติกช่วยในการขัดลอกเซลล์ผิว


วิธีทำ นำมะเขือเทศสุกมาบดให้ละเอียด แล้วเทลงในผ้าขาวบาง และบีบน้ำออก แล้วนำน้ำมะเขือเทศผสมกับนมเท่า ๆ กัน แล้วใช้เช็ดทำความสะอาดผิวหน้าวันละ 1 หรือ 2 ครั้ง แล้วล้างออกด้วยน้ำแร่ หรือน้ำสะอาดก็ได้ วิธีนี้เหมาะสำหรับผิวมัน และผิวผสม
ถ้าอยากมีผิวสวย ก็ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติกันดูได้.


ขอบคุณข้อมูลจาก เดลินิวส์

บราสำหรับสาวอกเล็ก


บราสำหรับสาวอกเล็ก

รู้จักสัดส่วนของตัวเอง

การค้นหาขนาดของชุดชั้นในที่เหมาะสม ต้องรู้จักสัดส่วนที่แท้จริงของทรวงอกเสียก่อน คำนวณได้ง่ายๆโดยนำสายวัดมาวัดขนาดรอบอก ให้สายทาบผ่านจุดยอดอกทั้งสองข้าง แล้วจดผลทีได้ไว้ จากนั้นวัดขนาดรอบตัวใต้อกอีกครั้งหนึ่ง นำผลลัพธ์ที่ได้มาหาผลต่าง ผลต่างที่ได้จะเป็นตัวกำหนดขนาดเต้าทรง หรือคัพไซส์ของชุดชั้นใน เช่น ขนาดทรวงอก คัพ A มีผลต่าง 9-11 เซนติเมตร ส่วนขนาดของรอบใต้อกจะบอกให้เราทราบถึงขนาดของลำตัว

ไซส์ของบรานอกจากจะเป็นคัพ เอ บี ซี แล้วยังมีตัวเลขเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เช่น A70 ตัวเลขต่อท้ายคือ ขนาดของทรวงอก โดยวัดจากรอบใต้อกเป็นเซนติเมตร สังเกตง่ายๆว่ายอดทรวงอกควรจะอยู่พอดีกับตะเข็บของขับ สายคล้องดึงทรวงอกให้ตั้งขึ้น ส่วนบนของคัพไม่แน่นเกินไป คัพไม่หลวมโคร่ง เมื่อยกแขนขึ้นลงขอบใต้ทรวงอกไม่เลื่อนหลุด

ใส่บราอย่างถูกวิธี

วิธีใส่ให้โน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย แล้วค่อยสวมบรา การสวมยกทรงขณะก้ม ปล่อยทรวงอกลงมาตามธรรมชาติจะทำให้บราประคองทรงได้ได้ดี จัดขอบให้กระชับแล้วติดตะขอในท่าเดิม เสร็จแล้วยืดตัวขึ้น จัดทรวงอกให้พอดีในคัพ สำหรับสาวอกเล็ก อกจะดูเต็มขึ้นได้โดยใช้เทคนิคการ "โกย" นั่นคือช่วงจัดทรวงอกให้พอดีในคัพ ให้โน้มตัวลงไปข้างหน้า ใช้มือโกยเนื้อด้านข้างลำตัวใต้รักแร้มาด้านหน้า จัดให้อยู่ในคัพแล้วจัดสายรัดให้พอดีค่ะ

เลือกบราเสริมทรง

คนอกเล็กมีดีตรงดูเพรียวบางกว่าคนอกใหญ่ ใส่สายเดี่ยวยังไงก็ไม่ต้องกลัวโป๊เกินไป แต่อย่างไรเสียผู้หญิงทุกคนก็ยังอยากมีทรวงอกตึงเต็มอยู่ดี เราสามารถเลือกบราเพื่อช่วยให้อกดูสวยขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติได้ง่ายๆ สาวหน้าอกเล็กที่อยากดูอึ๋มทันตา ควรเลือกยกทรงแบบเสริมแผ่นฟองน้ำทั้งเต้า ถ้าอกแบน ควรจะเลือกแบบพุช-อัพ (ดันขึ้น) ซึ่งครึ่งล่างจะบุเสริมให้หนา (ลองจับด้านในส่วนล่างชั้นในดู จะหนากว่าปกติ) มีทั้งแบบเสริมด้วยฟองน้ำ หรือของเหลว เช่น น้ำ ซิลิโคน แม้กระทั่งชนิดเสริมด้วยอากาศเดี๋ยวนี้ก็ยังมี สวมแล้วขนาดจะดูเพิ่มขึ้น คัพเต็มขึ้น

ประเภทของแผ่นดันทรง

แผ่นดันทรงฟองน้ำไฟเบอร์

ฟองน้ำที่เป็นใยไฟเบอร์ ห่อหุ้มด้วยผ้าเนื้อต่างๆ เช่น ผ้าไนลอน คอตตอน น้ำหนักเบา รองรับทรงได้ปานกลาง


แผ่นดันทรงแบบ PU Cup

ฟองน้ำทรงปั๊ม โค้งมนตามรูปเต้าทรง มีความหนาและรูปร่างทรงแตกต่างกันไป น้ำหนักเบา คงรูปทรงได้ดี และมีข้อดีคือ ช่วยให้ไม่เห็นรอยชั้นในเวลาสวมใส่เสื้อรัดรูป ให้ความนุ่ม สบาย มีหลายแบบ

- แบบธรรมดา ฟองน้ำทรงปั๊ม ที่โค้งมนตามรูปเต้าทรง ช่วยเสริมให้เรียบ มน

- แบบยืดได้ ฟองน้ำทรงปั๊ม ที่โค้งมนตามรูปเต้าทรง ตัวฟองน้ำยืดได้ตามสรีระและการเคลื่อนไหวใส่สบายไม่อึดอัด

- แบบดันทรงในตัว ฟองน้ำทรงปั๊ม ที่โค้งมนตามรูปเต้าทรง เพิ่มฟองน้ำนูนด้านในเพื่อการดันทรงให้อวบอิ่มยิ่งขึ้น

- แบบดันทรงในตัวฟองน้ำยืดได้ คัพยืดได้สวมใส่สบายแล้วยังดันทรงให้อวบอิ่มยิ่งขึ้น


แผ่นดันทรงแบบน้ำ

ช่วยดันทรงให้สวยเป็นธรรมชาติ เพราะน้ำจะยืดหยุ่นตามรูปทรงของอก ช่วยให้เนินอกสวยไม่หลอกตา แผ่นดันทรงชนิดน้ำคือ เบบี้ ออยล์ 100% ที่บรรจุในถุงพลาสติก TPU ที่มีความเหนียวนุ่ม ยืดหยุ่นได้ ทนแรงกด บีบมั่นใจได้ว่าออยล์ที่อยู่ภายในจะไม่รั่วซึมออกมาได้ง่ายๆ ปลอดภัยต่อร่างกาย


แผ่นดันทรงแบบเพิร์ล

ช่วยให้ผู้สวมใส่รู้สึกนุ่มเนียนเป็นธรรมชาติมากขึ้น ใส่สบายด้วยแผ่นดันทรงเนื้อนิ่ม ที่บรรจุเนื้อครีมสีไข่มุกซึ่งประกอบไปด้วยวาสลีนและเบบี้ออยล์ เวลาสวมใส่จะเบาสบายกว่าแผ่นดันทรงแบบน้ำ

แผ่นดันทรงแบบแอร์

แผ่นดันทรงบรรจุอากาศ100%ได้ด้านใน ช่วยเพิ่มความเบาสบายอย่างเป็นธรรมชาติ



ที่มาจาก มติชน

5 ท่ากระชับอกสวย


5 ท่ากระชับอกสวย
อกคือเรื่องอันยิ่งใหญ่ของหญิงสาว การมีทรวงอกกระชับ ไม่หย่อนยาน ล้วนเป็นความต้องการของหญิงสาว เพื่อบุคลิกและทรวดทรงที่ดี Slim by Yourself ได้นำท่าบริหารทรวงอกง่าย ๆ ที่คุณสามารถทำได้ด้วยตัวเอง

ท่าที่ 1 ยืนเหยียดแขน

ยืนตรง แยกเท้าพอประมาณ มือทั้ง 2 ข้างประสานกันเหยียดแขนไปข้างหน้าให้ขนานกับพื้น แขนตึง หน้ามองตรง

ค่อย ๆ เหยียดแขนทั้ง 2 ข้างขึ้นเหนือศีรษะไปทางด้านหลัง ค้างไว้ ตามองตามมือ

กลับสู่ท่าเริ่มต้น และควรทำท่านี้อย่างน้อย 3-5 เซต


ท่าที่ 2 ยืดแขน-แอ่น

ยืนตรง แยกเท้าพอประมาณ มือทั้ง 2 ข้างประสานกันไว้ข้างหลัง ลำตัวยืดตรง

ค่อย ๆ เอนตัวไปด้านหลังพร้อมกับแอ่นตัวโดยมือทั้ง 2 ข้างยังคงประสานกันไว้ข้างหลัง ค้างจังหวะไว้

กลับสู่ท่าเริ่มต้น และควรทำท่านี้อย่างน้อย 3-5 เซต


ท่าที่ 3 ตึงศอก-กางแขน

ยืนตรง แยกเท้าพอประมาณ งอแขนและกางศอกระดับไหล่

ค่อย ๆ เหวี่ยงแขนทั้ง 2 ข้างออกด้านข้าง พร้อมกับแอ่นตัวออกไปด้านหน้าเล็กน้อย หรืออาจก้าวเท้าข้างใดข้างหนึ่งไปทางด้านหน้าในขณะเหวี่ยงแขนก็ได้

กลับสู่ท่าเริ่มต้น และควรทำท่านี้อย่างน้อย 3-5 เซต


ท่าที่ 4 ดึงศอกซ้าย-ขวา

ยืนตรง แยกเท้าพอประมาณ ชูแขนทั้ง 2 ข้างขึ้นเหนือศีรษะ หันฝ่ามือเข้าหากัน

ค่อย ๆ ดึงศอกข้างขวาลงมาให้ต่ำกว่าระดับไหล่เล็กน้อย

กลับสู่ท่าเริ่มต้น และเปลี่ยนจากดึงศอกข้างขวา เป็นดึงศอกข้างซ้านแทน

ทำสลับกันประมาณ 3-5 เซต


ท่าที่ 5 ก้มตัว-ดึงศอก

ยืนแยกเท้าพอประมาณ กัมตัวขนานกับพื้น แขนทั้ง 2 ข้างเหยียดตรง ปลายมือชี้ลงพื้น

ค่อย ๆ ดึงศอกทั้ง 2 ข้างขึ้นไปทางด้านหลัง ค้างจังหวะไว้

กลับสู่ท่าเริ่มต้น ทำท่านี้ประมาณ 3-5 เซต


ขอขอบคุณข้อมูลจาก Slim up

เตือนภัย จัดฟันแฟชั่นอาจตาย

นายแพทย์พงศ์พันธ์ วงศ์มณี รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)กล่าวถึงกรณีข่าวนักเรียนเกิดอาการติดเชื้อ หลังจากการจัดฟันแฟชั่นที่ร้านจัดฟันแห่งหนึ่งในจังหวัดขอนแก่น จนเป็นอันตรายถึงชีวิต โดยระบุผลจากการตรวจสอบพบว่า ร้านจัดฟันแฟชั่นเหล่านี้ ผู้ที่ให้บริการมิใช่ทันตแพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ด้านนี้โดยเฉพาะ ที่สำคัญวัสดุอุปกรณ์ที่นำมาใช้ยังไม่ได้มาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็นลวดที่ใช้ในการดัดฟัน ซึ่งส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นลวดสแตนเลส หรือเป็นลวดที่ร้อยดอกไม้ และบางร้านมีการใส่ลูกปัดหลากสี พลาสติกยาง หรือกากเพชรด้วย ทั้งนี้ จากการที่ อย. ได้ตรวจสอบแล้วปรากฏพบว่า มีสารปนเปื้อนหลายชนิด อย่างเช่น ตะกั่ว พลวง ซิลิเนียม โครเมียม สารหนู และอื่นๆ หากสารเหล่านี้สะสมในร่างกายในปริมาณมาก จะก่อให้เกิดผลต่อไต ทำให้ไตวายอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ และบางรายหากมีโรคแทรกซ้อน ยิ่งทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิตได้ง่ายขึ้น

รองเลขาธิการ อย. กล่าวว่า ถึงแม้ลวดดัดฟันแฟชั่นที่เปิดให้บริการและขายอยู่ตามท้องตลาดไม่ได้จัดเป็นเครื่องมือแพทย์ แต่ทั้งผู้ขายและผู้ให้บริการ ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย เพราะถ้าเกิดมีอันตรายต่อผู้ที่มาดัดฟัน จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายทันที นอกจากนี้ อย.จะนำปัญหาดังกล่าวเข้าที่ประชุมคณะกรรมการเครื่องมือแพทย์ เพื่อพิจารณาถึงความเหมาะสมว่า ลวดดัดฟันแฟชั่นนี้ ควรที่จะจัดเป็นเครื่องมือแพทย์หรือไม่ ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ให้มีคำสั่งเกี่ยวกับการห้ามขายสินค้าลวดดัดฟันแฟชั่นเป็นการชั่วคราว โดยให้มีผลต่อไปอีก

นายแพทย์พงศ์พันธ์ กล่าวด้วยว่า หากจำเป็นต้องรับบริการทางการจัดฟัน ควรปรึกษาโดยตรงกับทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านทันตกรรมจัดฟันที่โรงพยาบาล หรือคลินิกที่ถูกต้องและได้มาตรฐาน โดยสามารถตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับทันตแพทย์ที่ทำการรักษาได้ในเว็บไซต์ของสมาคมทันตแพทย์จัดฟันแห่งประเทศไทย เพราะการใส่ลวดดัดฟันโดยไม่มีทันตแพทย์แนะนำวิธีการปฏิบัติที่ถูกต้อง เหมาะสม อาจก่อให้เกิดอันตรายหรือผลเสียด้านสุขอนามัยของฟัน หรืออวัยวะในช่องปากตามมาอีก ประกอบกับลวดที่เป็นอุปกรณ์ยึดเกาะกับฟันเป็นลวดที่ไม่แข็งแรงเพียงพอ มีโอกาสหลุดลงคอ และทำอันตรายแก่ผู้สวมลวดดัดฟันจนถึงแก่ชีวิตได้ ทั้งนี้หากพบลวดดัดฟันแฟชั่นที่อาจผิดกฎหมาย โปรดแจ้งร้องเรียนมายัง สายด่วน อย. โทร. 1556 เพื่อ อย.จะได้ตรวจสอบและดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด

วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2552

20 เคล็ดลับ ผิวสวยรับลมหนาว


20 เคล็ดลับ ผิวสวยรับลมหนาว
20 เคล็ดลับ ผิวสวยรับลมหนาว (สุดสัปดาห์)

เตรียมผิวหน้าและผิวกายให้พร้อมสวยรับลมหนาวที่กำลังจะมาถึงกันเถอะ

1. เมื่ออากาศหนาวมาเยือน ความชื้นในอากาศจะลดลง ร่างกายจึงดึงน้ำมาใช้มากขึ้น ทำให้ผิวหนังเกิดอาการแห้งหรือแตกเป็นขุยได้ง่าย สิ่งแรกที่ต้องทำคือการดื่มน้ำเปล่า (ไม่เย็น) ให้เยอะขึ้น เพราะร่างกายจะดูดซึมน้ำเปล่าเข้าสู่เซลล์ได้รวดเร็วกว่าน้ำชนิดอื่น

2. หากผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าที่ใช้อยู่มีเนื้อบางเบาเหมาะสำหรับอากาศร้อน ขอให้เก็บเข้าตู้เย็นไปก่อน แล้วยอมลงทุนเพิ่มอีกหน่อย ซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเนื้อเข้มข้นหรือที่เป็น Oil Base มาใช้ พอหน้าหนาวผ่านไปค่อยหยิบของเดิมกลับมาใช้จะเวิร์คกว่า

3. ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าชนิดเซรั่มหรือเอสเซ้นซ์ มาบำรุงผิวก่อนทามอยส์เจอไรเซอร์ นอกจากเนื้อบางเบาซึมเข้าสู่ชั้นผิวได้ง่ายแล้ว ยังช่วยเร่งการฟื้นฟูผิวให้ดีขึ้นด้วย

4. นวดหน้าอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง เพื่อช่วยกระตุ้นระบบหมุนเวียนโลหิตและน้ำมันใต้ผิวตามธรรมชาติ ให้หล่อเลี้ยงผิวดีขึ้น

5. ถ้าปกติแล้วขัดผิวกายสัปดาห์ละครั้ง ขอให้ยืดเวลาออกเป็น 2 – 3 สัปดาห์ต่อครั้ง เพื่อเก็บกักความชุ่มชื้นใต้ผิวไว้ และเลือกผลิตภัณฑ์สครับที่ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว โดยสังเกตง่ายๆ ว่าหลังใช้ผิวจะไม่แห้งตึง แต่ถ้ามีอาการผิวแตกเป็นขุย ขอให้หลีกเลี่ยงการขัดผิวไปก่อนจะดีกว่า

6. ถึงแม้อากาศจะหนาวแค่ไหน ก็ต้องข่มใจไว้ ไม่อาบน้ำที่ร้อนจัด (เกิน 34 องศาเซลเซียส) เพราะไขมันที่เคลือบตามผิวหนังจะถูกล้างออกไปได้มากกว่าปกติ

7. หลังอาบน้ำหรือล้างหน้า ใช้ผ้าขนหนูซับเบา ๆ ไม่จำเป็นต้องให้แห้งสนิท ลูบไล้ผลิตภัณฑ์บำรุงแล้วปล่อยให้ซึมซาบเข้าสู่ผิว

8. ถ้าไม่ชอบทาครีมเพราะรู้สึกเหนียวเหนอะหนะ หลังอาบน้ำให้รีบชโลมออยล์ทั่วเรือนร่าง แล้วซับตัวด้วยผ้าขนหนูเบา ๆ

9. หากอยากผ่อนคลาย แช่ตัวในน้ำอุ่น ให้แช่ได้ไม่เกิน 10 นาที แล้วอย่าลืมหยดออยล์หรือครีมน้ำนมลงในอ่างน้ำด้วย

10. เคล็ดลับฟื้นฟูผิวแห้งเป็นขุยเบื้องต้น ให้นำผ้าขนหนูหรือผ้าสำลีชุบนมรสจืดเย็น ๆ มาวางบนผิวหนังส่วนที่แห้งหรือระคายเคือง ทิ้งไว้ 5 นาทีแล้วล้างออก กรดแล็กติกในนมจะลอกเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วออก และเติมความชุ่มชื้นให้ผิวหนัง

11. ในระหว่างวันให้ใช้สเปรย์น้ำแร่ฉีดพรมทั่วใบหน้า เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและเติมความรู้สึกสดชื่น

12. ช่วงนี้ควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผิวกาย ที่ระบุไว้สำหรับผิวแห้งโดยเฉพาะ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผลิตภัณฑ์ประเภทออยล์หรือเนื้อครีมเข้มข้นสูง (เนื้อบัตเตอร์) ส่วนเนื้อโลชั่นจะเหมาะกับช่วงหน้าร้อนมากกว่า

13. มาสก์หน้าสัปดาห์ละครั้ง โดยนำแผ่นมาสก์หน้าไปแช่ตู้เย็นก่อนใช้ นอกจากจะช่วยฟื้นฟูผิวแล้วยังช่วยกระชับรูขุมขนด้วย

14. สูตรมาสก์หน้าโฮมเมดทำเองง่าย ๆ คือ อะโวคาโดบดครึ่งถ้วยผสมน้ำผึ้ง 1-4 ถ้วย จนเข้ากัน พอกทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเปล่า น้ำมันจากอะโวคาโดจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว

15. ในตอนเช้าแค่ล้างหน้าด้วยน้ำเปล่า ไม่จำเป็นต้องล้างด้วยสบู่ เพื่อรักษาน้ำมันเคลือบผิวตามธรรมชาติ

16. เปลี่ยนจากผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าเนื้อโฟม มาเป็นเนื้อครีมหรือออยล์จะเหมาะกับสภาพผิวมากกว่า

17. หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ผสมกรดต่าง ๆ เช่น AHA BHA เพราะผลิตภัณฑ์เหล่านี้ทำหน้าที่ผลัดเซลล์ผิว ทำให้ผิวแห้งมากขึ้นได้

18. พกลิปบาล์มติดกระเป๋าไว้เสมอ หากเนื้อลิปบาล์มบนริมฝีปากเริ่มแห้งเมื่อไรให้รีบหยิบมาทาทันที

19. ถึงแม้ช่วงฤดูหนาวจะไม่ค่อยมีแสงแดด สาว ๆ ก็ยังต้องใช้ผลิตภัณฑ์ปกป้องผิวจากแสงแดดเหมือนในฤดูร้อนเพราะไม่ว่าเวลาไหน รังสียูวีก็ยังมีอยู่ทุกที่

20. ผิวบริเวณส้นเท้าจะแตกได้ง่ายขึ้น จึงควรใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวเท้าลูบไล้ให้ทั่ว เน้นบริเวณส้นเท้าเป็นพิเศษ แล้วใช้แป้งเด็กทาบาง ๆ เพื่อดูดซับความมันก่อนสวมรองเท้าหุ้มส้น

20 เคล็ดลับ ผิวสวยรับลมหนาว

9 สูตรสมุนไพร เพื่อผิวหน้าสวย


9 สูตรสมุนไพร เพื่อผิวหน้าสวย
9 สูตรสมุนไพร เพื่อผิวหน้าสวย (Mother & Care)

อย่าปล่อยให้ผิวหม่นหมอง ไม่ผ่องใส เพราะขาดการใส่ใจดูแล แม้จะมีลูกด้วย ก็หาเวลาดูแลผิวหน้าให้สวยใสได้ ด้วยสูตรสมุนไพรธรรมชาติเหล่านี้ ขอกระซิบว่าปลอดภัยแท้ ๆ แม้เครื่องสำอางราคาแพงก็ยังสู้ไม่ได้ค่ะ อย่าปล่อยให้ผิวหม่นหมอง ไม่ผ่องใส เพราะขาดการใส่ใจดูแล แม้จะมีลูกด้วย ก็หาเวลาดูแลผิวหน้าให้สวยใสได้ ด้วยสูตรสมุนไพรธรรมชาติเหล่านี้ ขอกระซิบว่าปลอดภัยแท้ ๆ แม้เครื่องสำอางราคาแพงก็ยังสู้ไม่ได้ค่ะ

1. สูตรกระชับรูขุมขน ส่วนผสม น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ ผสมไข่ขาว 1 ฟอง คนให้เข้ากัน ทาทั่วหน้า เว้นรอบดวงตา นวดเบา ๆ 5 นาที แล้วทิ้งไว้ 20 นาที ล้างออกด้วยน้ำเย็นจัด ทำ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์

2. สูตร ผิวเนียนนุ่ม ส่วนผสม ฝักทอง ½ ถ้วย มะละกอ ½ ก้วย ไข่ไก่ 1 ฟอง ผสมเข้ากัน ล้างหน้าให้สะอาด ชับพอหมาด นำส่วนผสมพอกให้ทั่วหน้า เว้นรอบดวงตา พอกทิ้งไว้ 20-30 นาที แล้วใช้สำลี ชุบน้ำอุ่นเช็ดออก ทำอาทิตย์ละครั้ง

3. สูตรขจัดสิวเสี้ยน ส่วนผสม มะเขือเทศ 1 ลูก สเตอเบอรี่ 5 ลูก น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ ผสมเข้ากันทาหน้า เว้นรอบดวงตา นวดเบา ๆ บริเวณที่มีสิวเสี้ยน 10 – 15 นาที เช็ดออก ล้างหน้าด้วยน้ำเย็น ทำ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์

4. สูตรลดความหมองคล้ำ ส่วนผสม มะเขือเทศ 1 ลูก น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ นมสด 2 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ ผสมเข้ากันทาทั่วหน้า ขัดเบา ๆ 10-15 นาที เช็ดออก ล้างด้วยน้ำเย็น ทำ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์

5. สูตรขจัดเชลล์ผิวเก่า ส่วนผสม บร็อกโคลีหั่นละเอียด ½ ถ้วย นมสด ½ ถ้วย ผสมเข้ากันทาทั่วหน้า เว้นรอบดวงตา ขัดเบา ๆ พอกทิ้งไว้ 20-30 นาที เช็ดออก ล้างด้วยน้ำเย็น ซับหน้าให้แห้ง ทาครีมบำรุงทับอีกครั้ง ทำ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์

6. สูตรผิวขาว เรียบเนียน ส่วนผสม มะละกอสุกงอม 1 ถ้วย นมสด ½ ถ้วย น้ำส้มคั้น 2 ช้อนโต๊ะ ปั่นเข้ากันทาทั่วหน้า เว้นรอบตา พอกทิ้งไว้ 40-50 นาที ล้างออก ทำ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์

7. สูตรผิวชุ่มชื้น ใสปิ๊ง ส่วนผสม วุ้นว่านหางจระเข้ 1 ถ้วย มะม่วงสุก ½ ถ้วย น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ ผสมเข้ากันพอกหน้าบาง ๆ ก่อนเข้านอน ทิ้งไว้ข้ามคืน แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็นตอนเช้า ทำ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์

8. สูตรลดผิวแสบร้อน ส่วนผสม คั้นน้ำแตงโม ½ ถ้วย ผสมนมสด ½ ถ้วย คนเข้ากันทาทั่วผิวที่โดนแดดทิ้งไว้ 30 นาที ใช้สำลีชุบน้ำเย็นจัด เช็ดออก หรือใช้เนื้อแตงโมสดถูผิวที่โดนแดด ทิ้งไว้จนแห้งแล้วใช้น้ำเย็นล้างออกก็ได้เช่นกันค่ะ

9. สูตรผิวกระจ่างใส ส่วนผสม แอปเปิลหั่นชิ้น 1 ลูก น้ำผึ้ง 4 ช้อนโต๊ะ ปั่นเข้ากัน ทาทั่วหน้า เว้นรอบดวงตา พอกทิ้งไว้ 20-30 นาที ล้างออกด้วยน้ำเย็น ทำสัปดาห์ละครั้ง

9 สูตรสมุนไพร เพื่อผิวหน้าสวย

วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ทำไมผู้ชายไม่ค่อยโรแมนติก


ทำไมผู้ชายไม่ค่อยโรแมนติก
ผู้หญิงจะคิดอย่างไรน้า ถ้าผู้ชายจะ ยอมแอ่นอกบอก ถึงความลับส่วนลึก ของเขาว่า คิดอย่างไรบ้าง กับความรัก, ความใคร่, เซ็กซ์ และอารมณ์ รัญจวน ที่มีต่อเพศ ตรงข้ามให้ฟังอย่าง หมดเปลือกอย่าง ที่จะเจื้อยแจ้วเล่า ให้ฟัง ซึ่งแหงล่ะที่น้องหนู ย่อมสนใจ อยากทำความเข้าใจเกี่ยวกับ ผู้ชาย ใกล้ตัว ให้มากที่สุด เท่าที่จะมาก ได้ใช่ไหมล้า


เหตุนี้วิธีนึงที่จะทำให้ฝ่ายหญิงรู้จักเพศตรงข้าม ให้มากขึ้น ก็ต้องล้วงคองูเห่า เอ้ย วัดใจเขาผ่านคำถาม 8 ประการที่เขาอยากให้สาวๆรู้ (8 Things he wants you to know) ดังต่อไปนี้


1. ถามว่า ผู้ชายมองความโรแมนติกว่ามีความสำคัญหรือเปล่า?
โอ๊ย จะให้หนุ่มๆเค้าแสดงอารมณ์โรแมนติกออก มาตรงๆน่ะเหรอ รอไปเหอะ ต่อให้เขาทำได้ และทำได้ดี ซะด้วย ก็ไม่มีใครอยากทำสิ่งเหล่านี้ออกมาโต้งๆหรอก จ้ะ เดี๋ยวจะดูไม่แม้น ไม่แมนอะไรเทือกนั้นละมั้ง

ในความคิดของผู้ชายน่ะ เรื่องโรแมนติกจะเกิดขึ้นต่อเมื่อเขาอยู่กับคนรักเพี ยงลำพังสองต่อสอง เท่านั้น ชายมักมองความโรแมนติกเป็นช่วงเวลาส่วนตั๊ว ส่วนตัว ตรงข้ามกับผู้หญิงที่สามารถ แสดงความโรแมนติกได้ทั่วทุกหนทุกแห่ง แถมผู้หญิงยังเห็นโอกาสมากมายที่จะโรแมนติก ซะด้วยสิ ก็โถ คุณเธอเป็นจอมเซ้นท์ซิทีฟนี่นะ แล้วเรื่องที่ต้อง เล่นกะอารมณ์อย่างงี้ มีรึที่ฝ่ายหญิงจะไม่รู้สึกรู้สมกะมันมากกว่ากันคิดดู

ส่วนผู้ชายจะ ไม่ค่อยพูดถึงหรือทำอะไรเกี่ยวกับ ความโรแมนติกมากนักหรอก นัยว่าเขาคงอยาก ทำตัวให้เป็นธรรมชาติมากกว่า ส่วนข้อสงสัยที่ว่า อ้าวแล้ว ทำไมผู้ชายยังสามารถชวนสาว ไปหม่ำข้าวใต้แสงเทียน ได้ล่ะจ๊ะ เอ้าไม่รู้หรือไงว่า เพราะเขารู้อยู่แก่ใจน่ะสิว่า หลังจากจบ ดินเนอร์แล้ว อารมณ์เตลิดเปิดเปิงของผู้หญิง จะช่วยให้เขาหิ้วเธอขึ้นเตียงได้อีซี่ หรือง่ายกว่า นั่นเอง อ๋อมีความในใจแอบแฝงอย่างนี้นี่เอง


2. ผู้ชายคิดว่า พวกเขาเซ็กซี่ และมีเสน่ห์ ดึงดูดทางเพศหรือเปล่า?
ผู้ชาย ส่วนมากน่ะเป็นจอมทระนงล่ะจะบอกให้ หนุ่มๆชอบแกล้งถามว่า เขาใส่เสื้อผ้าชุดนี้แล้ว ดูดีไหม? แทนที่จะถามว่า เขาใส่แล้วเท่ระเบิดรึเปล่า? อย่างที่ใจ อยากถามซะเต็มประดา แต่ก็เงี้ยแหละนะ ขอรักษาฟอร์มให้ดูดีไว้ก่อน...ก็ไม่เสียหายอะไรนี่

ว่า กันว่า ผู้ชายเกือบทั้งหมดมักเชื่อมั่นในตัวเอง ทั้งนั้นแหละว่า เขามีเสน่ห์ทางเพศ ต่อให้ใครคนนั้นหน้าตาเหลาเหย่หรือเห่ยเพียงใด เขาก็ยังอยากได้ยินแฟนชมว่าหล่อ ดูดีมีสง่าราศีทั้งนั้นแหละ เฮ้อ! งั้นอย่าลืมออเซาะฉอเลาะหนุ่มข้างๆของคุณบ้างละกัน ตอแหล...เอ๊ย มีจริตไว้ซะบ้าง บางครั้งก็ใช้ได้ผลนะ


3. ทำไมผู้ชายถึงขยันมีเรื่องชู้สาวจังนะ?
ไม่ ใช่ฝ่ายชายเท่านั้นหรอกที่เจ้าชู้ เดี๋ยวนี้ผู้หญิง เองก็ใช่ย่อยซะที่ไหนล่ะใช่มะ ว่าแต่ปริมาณการเปลี่ยน คู่ของผู้หญิงอาจทำสถิติได้น้อยกว่าผู้ชายเท่านั้น ถึงได้มีคำพูดให้ได้ยิน กันไงว่า คนหล่อชอบเปลี่ยนคู่ คนสวยชอบเปลี่ยนใจ...เอ๊ะรึว่าโลกนี้หาคนจริงใจไม่ได ้ แล้ว ต๊ายตาย อย่ามองโลก ในแง่ร้ายอย่างงั้นสิจ๊ะ

แม้โลกนี้จะขมุกขมัว และเต็มไปด้วยความลับกับคำโกหก แต่เราก็ควรมองโลกด้วยความสดใส และเปี่ยมไปด้วยความหวังกันหน่อยเด้ อย่างน้อยช่วย มอบความจริงใจให้กันสักติ๊ดก็ยังดี



4. ถามว่า ผู้ชายให้ความสำคัญกับขนาดของหน้าอกผู้หญิงแค่ไหน?

ผู้หญิงที่มีขนาดของหน้าอกหน้าใจใหญ่โต มักปั่นหัวผู้ชายได้เสมอล่ะจ้ะน้อง

ทรวง อกขนาดใหญ่เหล่านี้มักกระตุ้นสัญชาตญาณ ของเพศผู้ว่า ผู้หญิงที่อวบอั๋น เต่งตึงน่ะ พร้อมเสมอแหละที่จะมีความสัมพันธ์ทางเพศง่ายจะตาย ก็พวกเธอออกจะยั่วยวนปานนี้นี่นา อู้หู ไม่รู้เป็นคำด่า (ว่าสาวทรงโตใจง่าย) หรือชม (ว่าสาวอวบอั๋นมีหุ่นน่าซุก) กันแน่ แต่ที่ชัวร์ๆ คำตอบของข้อนี้ก็คือ ทรวดทรงองค์เอว โดยเฉพาะหน้าอกของสาวๆน่ะมีผลต่อเพศชายแหงแก๋

เอ๊ะแต่ที่บอกอย่างนี้ ไม่ได้หนับหนุนให้ผู้หญิงที่มีทรงเล็ก ต้องรีบกุลีกุจอไปผ่าตัดเสริมเต้าหรอกนะ เพราะถ้า “ขนาด” ของผู้หญิงมันใหญ่โตเทอะทะจนเข้าขั้นเว่อไปแล้วล่ะก็ บางทีอะไรที่ดูปลอมๆ อาจไม่เป็น ที่ต้องใจของคนที่ชอบของจริงก็ได้


5. ผู้ชายอ่อนไหวกับการแสดงออกทางเพศต่อหน้าคนอื่นจริงหรือ?
เอ้า ไม่รู้หรือว่าการแสดงออกเป็นปัญหาสำหรับผู้ชายเสมอแห ละ หนุ่มส่วนใหญ่แทนที่จะวางท่า เพื่อให้ผู้หญิงเกิดความประทับใจ แต่ปรากฏว่าถ้าเผอิญคนในกลุ่มเกิดพูดถึงรสนิยม ทางเพศขึ้นมาเมื่อไหร่ ผู้ชายนั่นแหละจะทำหน้าทำตาจนกลายเป็นกลุ่มที่ไม่น่า ไว้วางใจ มากที่สุดขึ้นมาทันที ประมาณสายตาหื่น ออก อะไรเงียะนะ

จึงแม่นแล้ว น้อง ว่าผู้ชายมีความอ่อนไหวง่ายจะตายพอพูดถึงเรื่องเซ็กซ ์ขึ้นมา ซึ่งก็มีข้อดี อยู่เหมือนกัน ไม่ใช่จะร้ายเสมอไป โดยเฉพาะในกรณีของคู่รัก เอ้าลองคิดดูนะ ถ้าฝ่ายหญิงอยากเร้าอารมณ์สามีก็ง่าย นิดเดียว แค่พูดให้เขาซาบซ่านแค่ว่า ชั้นหลงใหลร่างกาย คุณเหลือเกิน...แค่นี้สุดหล่อก็จะเริ่มควบคุมอารมณ์ ไม่อยู่แล้ว จึงไม่ต้องเสียเวล่ำเวลา ปลุกเร้าอะไรกันให้ เยิ่นเย้อไงล่ะ


6. ผู้ชายกังวลเกี่ยวกับขนาดของ “น้องชาย” ของเขานักหรือ?
ผู้ชาย มากมายคิดทั้งนั้นแหละว่า ขนาดของน้องชายของเขาพอเหมาะพอดีแล้วหรือยัง? และถ้ามี ช่องทางอื่นใดอีกหรือเปล่าที่ช่วยทำให้ใหญ่เบิ้มได้อ ีก โอ้โห ถ้าไม่เรียกว่ากังวลแล้ว จะเรียกว่าอะไรละเนี่ย


7. ทำไมผู้ชายจึงชอบออรัลเซ็กซ์?
ก็เพราะมันให้ความเพลิดเพลินเจริญใจกะเค้าน่ะซี้ถามด ้าย....


สุดท้าย 8. อะไรที่ทำให้ผู้หญิงเป็นคู่รักที่ดีที่สุดของเขาได้ล ่ะ?
หนุ่มๆ เค้าก็มีความคาดหวังเหมือนสาวๆ เกี่ยวกับเรื่องแฟนเหมือนกันนั่นแหละ เช่น อยากมีแฟนเป็นสาวหวาน รู้จักปรนนิบัติเอาใจใส่ และ ถ้าเผื่อรักเขาอย่างจริงจังด้วยล่ะก็ นั่นย่อมเป็นสิ่งที่วิเศษสุดเลยเชียวล่ะ

ทำไมผู้ชายไม่ค่อยโรแมนติก
ที่มา ผู้หญิงนะคะ

วิธีเร่งผมยาว


วิธีเร่งผมยาว
1.ออกกำลังกายให้เส้นผม เร่งสปีดความเร็วให้ เร่งผมยาว เร็วแบบติดเทอร์โบด้วยการก้มศีรษะให้เลือดไปเลี้ยงที่ศีรษะค้างไว้สัก 30 วินาที ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาทำเช่นนี้ทุกวัน เลือดจะไหลเวียนไปเลี้ยงเส้นผมที่ศีรษะ ทำให้เส้นผมแข็งแรงและยาวเร็วขึ้นด้วย

2.เพิ่มโปรตีน Lee Stafford ช่างทำผมคนดังของเกาะอังกฤษแนะว่า โปรตีนสามารถปกป้องและซ่อมแซมเส้นผม ช่วยลดการหลุดร่วงและการแตกหักของเส้นผม ทำให้เส้นผมแข็งแรง และยาวเร็วขึ้นได้

3.กินปลา Richard Ward กล่าวไว้ว่า ปลา พืชผักใบเขียว และบลูเบอรี่เป็นแหล่งอาหารที่ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต ฉะนั้นบริเวณใดก็ตามในร่างกายที่มีเลือดไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงได้ดีจะทำให้ ร่างกายบริเวณนั้นแข็งแรง มีชีวิตชีวารวมไปถึงเส้นผมบนศีรษะด้วย

4.เคยนวดศีรษะกันบ้างไหม Phillip Kingsley เปิดเผยให้ฟังถึงศาสตร์ของการนวดศีรษะว่า การนวดศีรษะจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตบนศีรษะ และทำให้ระบบเมตาโบลิซึ่ม ทำงานได้อย่างเป็นปกติ และยังจะช่วยทำให้เส้นผมเติบโตเร็วขึ้น การนวดศีรษะอาจทำได้ด้วยตัวเองที่บ้านในขณะสระผม โดยการใช้นิ้วมือกดและนวดไปตามจุดบนศีรษะอย่างเบามือ

5.แปรงให้ถูก หลีกเลี่ยงการทำให้เส้นผมขาดและหลุดร่วงด้วยการไม่หวีผมขณะยังเปียกอยู่ เลือกใช้หวีซี่ใหญ่และห่างในการหวีผมช่วงผมเปียกแทน

6.ตัดผมบ้าง อาจจะเคยได้ยินมาบ้างว่าการเล็มผมบ่อยๆ จะช่วยให้ผมยาวเร็วขึ้น การเล็มผมนอกจากจะทำให้ผมยาวเร็วขึ้นแล้วถือว่ายังเป็นการกำจัดผมแตกปลายไป ในตัวด้วย รู้อย่างนี้แล้วก็หมั่นให้ช่างเล็มผมก็จะดีไม่ใช่น้อย

7.ต่อผมก็ได้ สำหรับ สาวใจร้อนที่ทนรอให้ผมยาวไม่ได้หรืออาจมีภารกิจสำคัญที่จำเป็นเร่งด่วนที่จะ ต้องไว้ผมยาวภายใน 1 วัน ให้ลองมองหาร้านทำผมที่มีบริการต่อผมดู ให้เลือกใช้บริการร้านต่อผมที่ค่อนข้างมีประสบการณ์สักนิดก่อนที่คิดจะต่อผม
วิธีเร่งผมยาว

ทำไม เกาลัดคั่ว ในเม็ดทราย


ทำไม เกาลัดคั่ว ในเม็ดทราย
เกาลัดคั่วที่เห็นกันมาก ๆ ในแถวเยาวราช มักจะมีเม็ดสีดำเล็ก ๆ คั่วรวมอยู่ด้วย บางคนอาจจะคิดว่าเป็นเมล็ดกาแฟจริง ๆ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่


เม็ดสีดำเล็ก ๆ นั้น คือ เม็ดทรายขนาดประมาณ 3-5 มิลลิเมตร เป็นทรายที่ใช้ในการก่อสร้าง หรือที่เห็นตามตู้ปลาสีออกน้ำตาล พ่อค้าหรือแม่ค้าจะนำเอาทรายแห้งใส่ลงไปในกระบะใบใหญ่ พอทรายร้อนระอุได้ที่จนเป็นสีดำ ก็จะนำเอาลูกเกาลัดใส่ลงไป บางร้านเติมน้ำตาลทรายคั่วรวมกันให้ได้รสหวาน บางร้านเพิ่มกลิ่นหอมด้วยการใส่เมล็ดกาแฟคั่วรวมไป


เหตุผลที่ต้องใช้เม็ดทรายเพราะเม็ดทรายช่วยเก็บความร้อนไว้ได้นาน ซึ่งดีสำหรับการทำให้เกาลัดสุกถึงเนื้อผลด้านใน และหากสังเกตกันดี ๆ เนื้อผลของเกาลัดนั้นจะไม่ติดกับเปลือก


ดังนั้นการใช้ทรายที่ร้อนระอุตลอดเวลาจะช่วยให้เนื้อเกาลัดค่อย ๆ สุก แต่ต้องหมั่นคนเพื่อไม่ให้เกาลัดไหม้ ซึ่งจะคั่วกันนาน 30-40 นาที เม็ดทรายนั้นใช้ได้นานกว่า 1 เดือน

เรียกว่าคั่วเกาลัดได้หลายกระทะ จนทรายที่เป็นเม็ดเริ่มป่นเป็นผง แล้วจึงจะเปลี่ยนไปใช้เม็ดทรายชุดใหม่


ต่อไปนี้ก็เข้าใจใหม่ว่า เกาลัดนั้นคั่วในทราย ไม่ใช่เมล็ดกาแฟอย่างที่เข้าใจกัน.

วิธีแก้เหน็บชา


วิธีแก้เหน็บชา
คุณเคยเป็นเหน็บชาไหม?

ถ้าเคย คุณใช้วิธีอะไรในการแก้เหน็บชา วันนี้เรามีวิธีเด็ดๆในการแก้เหน็บชา เมื่อคุณเป็นเหน็บชาเมื่อนั่งท่าเดิมนานๆ หรือ นั่งสมาธินาน(สำหรับมือใหม่) คุณก็มักจะเป็นเหน็บชา


เราขอแนะนำท่านว่า
เมื่อเป็นเหน็บชาให้คุณหากระดาษทิชชูหรือกระดาษ เสียบไว้ที่นิ้วเท้าระหว่างนิ้วหัวแม่เท้ากับนิ้วที่ถัดไป สักครู่คุณจะรู้สึกดีขึ้นราวกับปาฎิหาริย์(OVERเล็กน้อย) อาการจะดีขึ้น จนกระทั่งหาย ดีกว่าที่คุณจะปล่อยไว้เฉยๆให้ทรมานตัวเอง

วิธีแก้เหน็บชา

วันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ทานอย่างไรให้น้ำหนักลด!


ทานอย่างไรให้น้ำหนักลด!
หัวใจสำคัญ ของการลดน้ำหนักคือ
การควบคุมอาหารให้ถูกวิธี "ห้ามอดอาหาร" แต่ให้เลือก หรือจำกัดชนิดอาหารที่มีผลต่อน้ำหนัก
เพิ่มการออกกำลังกายและต้องทำสม่ำเสมอ
หากต้องพึ่งยาลดน้ำหนัก ต้องใช้ตามที่แพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด

ในชีวิตจริงเราใช้เครื่องทุ่นแรงกันตลอดเวลา พลังงานจึงถูกใช้น้อย ส่วนที่เกินจึงสะสมไว้ในร่างกาย

เวลาที่ร่างกายใช้พลังงาน ร่างกายจะเลือกว่าต้องใช้พลังงานจากน้ำตาลในเลือด
ซึ่งเป็นอาหารที่มาจากแป้ง น้ำตาล ที่กินเข้าไป
หรือร่างกายจะนำไขมันที่สะสมอยู่ตามส่วนต่างๆ ออกมาใช้เป็นพลังงาน

ถ้าใช้พลังงานอย่างต่อเนื่องโดยที่ไม่ได้รับประทานอาหารเพิ่มเติม ก็จะทำให้ ร่างกายผอมลง
ดังนั้นกิจกรรมต่างๆ ที่ทำควรมากกว่า 15 นาที เพื่อให้ร่างกายมีการใช้ไขมันที่สะสมอยู่
ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการลดน้ำหนัก

แต่ถ้าคุณได้ออกกำลังเกินกว่า 30 นาที แต่ไม่เกิน 1 ชั่วโมงอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง
ก็มีส่วนช่วยกล้ามเนื้อหัวใจให้แข็งแรงขึ้น ป้องกันโรคหัวใจ โรคเส้นเลือดหัวใจตีบ โรคความดันโลหิตสูง
เป็นรายการแถมมาจากน้ำหนักที่ลดลง

การลดน้ำหนักด้วยตัวเอง ในทางปฏิบัติอาจจะไม่ง่าย และไม่ทันใจ
แต่วิธีลดน้ำหนักที่ปลอดภัย และได้ผล คือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินซึ่งให้ผลระยะยาว
ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับความตั้งใจ ความเต็มใจที่จะเปลี่ยนนิสัยการกิน ควบคุมอาหาร
การใช้พลังงานร่วมกับการออกกำลังกายด้วย


ที่มา http://board.dserver.org/M/Max/00000305.html
ภาพจาก http://yxhealth.com/

โปรตีน ตัวช่วยของสาวอยากผอม


โปรตีน” ตัวช่วยของสาวอยากผอม

หากสาวอวบอย่างคุณเมื่อเห็นสาวเอวบางร่างน้อย แต่งตัวเซ็กซี่แล้วเกิดอาการอิจฉาตาร้อน
อยากจะลุกขึ้นมาโชว์หุ่นกับเขาดูบ้าง แต่ ก่อนที่จะตัดสินใจทําอย่างนั้น ขอแนะให้มาอ่านข้างล่างนี้กันก่อนดีไหม
เผื่อจะช่วยให้คุณไม่ต้องตกเป็นประเด็นฮอต ให้คนอื่นเขาแอบเอาไปเม้าท์กัน

วิธีที่ จะนํามาแนะนําในวันนี้ คือ การกินโปรตีนค่ะ อ๊ะๆ คงนึกไม่ถึงละสิว่าโปรตีนนี่น่ะเหรอจะช่วยให้ฉันผอมได้
อย่าเพิ่งดูถูกไปนะคะ เพราะเขาได้มีการทดลองออกมายืนยันแล้วว่า
คนที่กินโปรตีนสูง จะมีแนวโน้มที่จะลดน้ำหนักได้มากกว่ากลุ่มที่กินโปรตีน น้อยหรือไม่กินเลย
ที่เป็นอย่างนี้ ก็เพราะโปรตีนมีส่วนช่วยในการเพิ่มอัตราเมตาบอลิซึ่มให้กับร่างกาย
ซึ่งนั่นก็หมายถึงคุณจะเผาผลาญแคลอรีได้มากขึ้น

นอกจากนี้ โปรตีนยังช่วยทําให้ระดับไนโตรเจนในร่างกายเกิดความสมดุล
ซึ่งจะมีผลให้มวลกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น ช่วยให้อัตราการดูดซึมกลูโคสในกระแสเลือดช้าลง ซึ่งจะทําให้ไม่ค่อยหิว
และช่วยลดระดับ อินซูลินทําให้การเผาผลาญไขมันเป็นไปได้ง่ายขึ้นด้วยค่ะ


แหล่งโปรตีนหาได้จากไหน

โดยปกติแล้ว ร่างกายจะสามารถสร้างกรดอะมิโนขึ้นมาเองได้ 80% ที่เหลืออีก 20% จะต้องรับจากการกินเข้าไป
ซึ่งแหล่งของกรดอะมิโนเหล่านี้ หาได้จากอาหารที่มีโปรตีนสูง อย่างเช่น

เคซีน - หรือโปรตีนจากนม ซึ่งเป็นที่โปรดปรานของกล้ามเนื้อมาก ช่วยทําให้กล้ามเนื้อกระชับ
เพิ่มการสังเคราะห์และยับยั้งการย่อยสลายโปรตีน
จากการศึกษาพบว่า ถ้าเรากินอาหารที่มีเคซีนเข้าไป มันจะไปเกาะกันเป็นก้อนอยู่ในรูปของวุ้นที่กระเพาะ
ทําให้อาหารเคลื่อนตัวช้าลง เป็นเหตุให้กรดอะมิโนถูกปล่อยเข้าสู่กระแสเลือดมากขึ้น
นอกจากนี้ เคซีนยังช่วยในเรื่องของการเพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ เพิ่มระดับ HDL
และช่วยคลายอาการปวดของกล้ามเนื้อและข้อต่อด้วยค่ะ

ถั่วเหลือง - มีโปรตีนสูงถึงร้อยละ 34 ซึ่งมากกว่าโปรตีนจากเนื้อหมูประมาณ 2 เท่า
ถึงแม้ถั่วเหลืองจะไม่ค่อยมีบทบาทในการปั้นหุ่นมากนัก แต่มันก็มีความสําคัญต่อสุขภาพมากๆ เลยนะ
เพราะในเมล็ดถั่วเหลืองโดยเฉพาะผิวหุ้มของมันจะมีสารเลซิธิน (Lecithin) ซึ่งเป็นสารบํารุงสมอง
ช่วยในด้านการเพิ่มความจํา ลดไขมันและคอเลสเตอรอลในร่างกายค่ะ

ไข่ - แหล่งโปรตีนที่ดีและราคาถูก
ซึ่งหลายๆ คนอาจจะกลัวการกินไข่เพราะกลัวคอเลสเตอรอลที่มีอยู่ในไข่แดง
แต่จริงๆ แล้วไขมันอิ่มตัวในอาหารต่างหากละ ที่เป็นตัวการทําให้ระดับคอเลสเตอรอลใน เลือดสูง
ยิ่งไปกว่านั้นการกินไข่ยังเป็นการช่วยป้องกันโรคหัวใจ และมีบทบาทในเรื่อง ของการลดน้ำหนักด้วยนะคะ
เพราะไข่ 1 ฟอง นอกจากจะให้แคลอรีต่ำ เพียง 75 แคลอรีแล้ว
ยังทําให้รู้สึกอิ่มได้นานกว่าอาหารชนิดอื่นๆ ที่ให้แคลอรีเท่ากันอีกค่ะ


ที่มา http://health.kapook.com/view2085.html

กินอย่างไรให้เผาผลาญดี


กินอย่างไรให้เผาผลาญดี
ได้แก่ น้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้น และเซลลูไลท์ตามหน้าท้อง แขน ขา สะโพก
ซึ่งการออกกำลังกาย ถือเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเร่งเผาผลาญพลังงานส่วนเกิน เหล่านี้
แต่วิธีหนึ่งที่สามารถช่วยคุณได้อีกแรงก็คือ การกินอาหารอย่างถูกต้องค่ะ


ลดแป้ง น้ำตาล ไขมัน
การกินอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูงมากๆ จะทำให้ปริมาณอินซูลินในเลือดเพิ่มขึ้น
ซึ่งส่งผลให้การเผาผลาญไขมันในร่าง กายลดลง
นอกจากนี้การกินไขมันมาก ก็ยังทำให้ระบบการเผาผลาญพลังงานเชื่องช้าลงด้วย


เน้นโปรตีนและผัก
การย่อยอาหารประเภทโปรตีน จากเนื้อสัตว์เป็นกิจกรรมที่ร่างกายต้องใช้พลังงาน อย่างมาก
ดังนั้นการกินเนื้อปลา เนื้อหมูไม่ติดมัน เนื้อไก่ไม่ติดหนัง ฯลฯ จะช่วยเร่งอัตราการเผาผลาญพลังงานได้มากขึ้น
แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าโปรตีนที่เหลือจากการใช้งานจะกลายเป็นไขมัน ดังนั้นอย่ากินมากจนเกินไปค่ะ
อ้อ...ผักและผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงก็ขาดไม่ได้นะคะ เพราะวิตามินซีมีส่วนช่วยเร่งการเผาผลาญพลังงานด้วย


กินน้อยแต่บ่อยขึ้น
การกินมื้อละน้อยโดยแบ่งออกเป็นมื้อย่อยๆ หลายมื้อ เช่น เช้า สาย กลางวัน บ่าย เย็น
เป็นการกระตุ้นให้ร่างกายมีกิจกรรมย่อยอาหาร และเผาผลาญพลังงานตลอดทั้งวัน อย่างต่อเนื่อง


ดื่มน้ำให้มาก
เพราะร่างกายต้องใช้น้ำในกิจกรรมย่อยอาหาร
การดื่มน้อยอาจทำให้การทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย รวมทั้งระบบเผาผลาญพลังงานการติดขัดได้


ที่มา http://women.mthai.com/views_health_11_47_5372_1.women
ภาพจาก http://www.makinglifebetter.com/vitality-wellness/article/

เผยลดน้ำหนักตัว ด้วยมะเขือเทศ


นสพ.ชื่อดังของอังกฤษเผย
มะเขือเทศ ช่วยปรับระดับฮอร์โมนในร่างกาย ทำให้รู้สึกอิ่มนาน ลดการบริโภคขนมขบเคี้ยวได้ดี ...

ผู้ เชี่ยวชาญด้านโภชนาการพบว่ามะเขือเทศเป็นอาหารที่ช่วยลดความอ้วนได้
โดยไม่จำเป็นต้องไปพยายามลดอาหารและปล้ำออกกำลังจนหน้าดำหน้าแดงเลย

หนังสือ พิมพ์รายวัน "เดอะ เดลี่ เอกซ์เปรสส์" ชื่อดังเมืองอังกฤษ รายงานว่า
นักวิจัยมหาวิทยาลัยรีดดิงของสหรัฐฯ ได้ศึกษากับสตรี 17 คน
โดยให้กินแซนด์วิชที่ทำด้วยขนมปังขาว ชนิดที่มีหัวผักกาดแดง หรือมะเขือเทศเป็นไส้เป็นอาหาร

ปรากฏผลว่าผู้ที่กินแซนด์วิชที่ประกบ มะเขือเทศ จะพากันรู้สึกอิ่มทนนานที่สุด
และไม่ค่อยไปหาของขบเคี้ยวกินพร่ำเพรื่อ อันเป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้อ้วนอย่างหนึ่ง

ดร.จูซี่ เลิฟโกรฟ์ หัวหน้าโครงการวิจัยเชื่อว่า
เป็นเพราะมะเขือเทศมีส่วนประกอบที่ไปปรับระดับฮอร์โมน
ซึ่งทำให้รู้สึกหิวเสียใหม่ได้ จึงทำให้ไม่ค่อยรู้สึกหิว

"แม้จะยังไม่อาจบอกได้ว่า ส่วนประกอบที่สำคัญเป็นอะไร แต่มันก็ให้ผลเป็นที่น่าพอใจอย่างยิ่ง" เขาบอก.


ที่มา http://www.thairath.co.th

เปิดสูตรการกิน รักษาหุ่น-สุขภาพ


สุขภาพและการกินต้องมาควบคู่กันเสมอ โดยเฉพาะกับสาวๆ ที่มักอยากควบคุมหุ่นโดยไม่เสียสุขภาพ

น.ส.อภิญญา คันธา นักกำหนดอาหาร จากศูนย์สุขภาพรีไวท์ทัลไลท์ และพยาบาลวิจัย
หน่วยต่อมไร้ท่อและเมตะบอลิสม คณะแพทยศาสตร์จุฬาลงการณ์ กล่าวว่า ปัญหาภาวะโภชนาการในปัจจุบัน
สำหรับคนเมืองคือ ภาวะโภชนาการเกิน คือ ได้รับไขมันและคาร์โบรไฮเดรตมากเกินไป
และโภชนาการขาดมาคู่กับเกิน หรืออ้วนแต่ขาดสารอาหาร
เนื่องจากกินอาหารแปรรูป ซึ่งในอาหารแบบนี้มีน้ำตาลและไขมันแอบแฝง

นอกจากนี้ ยังมีโซเดียม สารเคมี ซึ่งนำมาสู่โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคหลอดเลือด ความดัน
และอาจมีของแถมคือโรคมะเร็ง

สาเหตุส่วนใหญ่มาจากผู้บริโภคขาดความ รู้เรื่องโภชนาการ และขาดการอ่านฉลากโภชนาการให้ละเอียดถี่ถ้วน
ผลิตภัณฑ์บางชนิดบอกว่าไม่เติมน้ำตาล แต่จริงๆ แล้วอาจมีน้ำตาลตามธรรมชาติของผลิตภัณฑ์นั้นๆ อยู่แล้ว

ขณะที่คนต่างจังหวัดอยู่ในภาวะโภชนาการขาด คือ ขาดโปรตีน และวิตามิน
เพราะคนไทยมักทานข้าวเป็นหลัก และกินโปรตีนที่ไม่มีคุณภาพ
ซึ่งโปรตีนที่ได้จากพืชไม่ดีเท่ากับที่ได้จากเนื้อสัตว์ จึงควรทานปลาและเต้าหู้ในแต่ละมื้อ

นัก กำหนดอาหารหญิง กล่าวต่อว่า ปัจจุบันกระแสสุขภาพมาแรงมาก ต้องได้รับการโปรโมต
ผู้บริโภคควรเลือกกินอาหารให้เป็น หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป เน้นผัก และผลไม้ที่มีรสจืด
รับประทานได้ตามที่กำหนดทุกวัน เช่น ฝรั่ง ลูกตาล มะละกอ
และรับประทานข้าวแป้งที่ไม่ผ่านการขัดสี อย่างข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ
หรือขนมปังที่ทำจากแป้งที่ไม่ขัดสี เพื่อจะได้ใยอาหารเพิ่มขึ้น
ไม่จำเป็นต้องงดหรือจำกัดมากเกินไป กินได้มื้อละ 2-4 ส่วน ขึ้นอยู่กับอายุและน้ำหนักตัว

ส่วน ผลไม้รสหวานจัดควรงด หรือนานๆ ครั้งค่อยกิน เช่น ทุเรียน เงาะ ลำไย ขนุน ลองกอง มะม่วงสุก ลิ้นจี่
ขณะที่ผลไม้รสหวานปานกลางกินได้ตามที่กำหนด แต่ไม่ควรบ่อยนัก เช่น องุ่น สับปะรด ส้ม แตงโม แคนตาลูป

อาหารกลุ่ม เนื้อสัตว์ให้โปรตีนเป็นหลัก ควรได้รับทุกมื้อ มื้อละ 2-4 ช้อน
และควรเลือกเนื้อสัตว์ไม่ติดมันและหนัง กินปลาและเต้าหู้ให้บ่อยขึ้น
หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ที่มีคอเลสเตอรอลสูง และเนื้อสัตว์แปรรูป เนื่องจากมีไขมันอิ่มตัวและเกลือโซเดียมสูง

นอกจากนี้ ควรกินอาหารให้ครบและถูกสัดส่วน ทั้งเนื้อสัตว์และข้าวแป้ง
ควรบริโภคโปรตีนทุกมื้อ ไม่ควรขาดอย่างใดอย่างหนึ่ง
และครบตามแหล่งพลังงานทั้ง 3 ส่วน คือโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน

"สำหรับ ผู้ที่ลดความอ้วน หากทานโดยไม่ได้คิด ก็สบายปากแต่ลำบากตัว จึงควรเลือกให้เป็น
ไม่จำเป็นต้องซีเรียสเรื่องปริมาณแคลอรีมากเกินไป แต่จะนับเป็นส่วนๆ ของอาหาร
และควรดื่มน้ำ 1 แก้ว ก่อนรับประทานอาหาร จะทำให้พื้นที่ในกระเพาะอาหารลดลง
และน้ำจำเป็นในกระบวนการเผาผลาญพลังงาน
นอกจากนี้ ควรเลือกกินอาหารควบคู่กับการออกกำลังกายเป็นสิ่งที่ดีที่สุด"

สำหรับ เมนูแนะนำ ได้แก่ ปลาทับทิมทรงเครื่อง และก๋วยเตี๋ยวลุยสวน เหมาะสำหรับทุกวัย
เพราะได้มีการปรับสูตรอาหารแล้ว ลดความเสี่ยงจากไขมันและน้ำตาล

"เมื่อเป็นนักกำหนดอาหาร รู้เรื่องโภชนาการเหมือนเป็นการฝึกตัวเองแล้วมันจะอยู่ในสายเลือด
จะค่อยๆ ปรับพฤติกรรมตัวเอง แล้วจะดูสัดส่วนของอาหารในแต่ละมื้อ
หลีกเลี่ยงจังก์ฟูดส์ เลือกกินอาหารให้หลากหลาย
อย่ากินซ้ำซากจะทำให้ขาดสารอาหาร เกิดสารเคมีสะสมทำให้เป็นโรคตับหรือมะเร็ง"
น.ส.อภิญญา กล่าวทิ้งท้าย

และนี่เป็นเคล็ดลับดีๆ ที่นำมาฝากเพื่อสุขภาพที่ดีในอนาคต


ข้อมูลจาก ข่าวสด
ที่มา http://women.thaiza.com/detail_29842.html

เลิกอ้วน...ลดโรค ให้ "3 อ." ช่วยลดพุง


เลิกอ้วน...ลดโรค ให้ "3 อ." ช่วยลดพุง
เครือข่ายองค์กรงดเหล้า แนะ ไร้น้ำเมาด้วยจึงจะไม่อ้วน

เคย เห็นใครที่อ้วนลงพุงแล้วดูดี (จริงๆ) บ้างไหมคะ

หากไม่เข้าข้างตัวเองกันจนเกินไป คำตอบก็คือ "ไม่มี" เพราะนอกจากจะทำให้แลดูเสียบุคลิกแล้ว
ภาวะอ้วนลงพุงยังพาแขกมาเยี่ยมเยียนสุขภาพเราอีกเพียบ
อาทิ โรคเบาหวาน โรคอ้วน ไขมันอุดตันในเส้นเลือด โรคหัวใจ ฯลฯ
แน่นอนว่า โรคเหล่านี้ล้วนเป็นแขกที่เราไม่อยากรับเชิญทั้งสิ้น

ภาวะ อ้วนลงพุง เป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากมีไขมันในช่องท้องมากเกินไป
มีระดับน้ำตาลในเลือด ความดันโลหิตสูงและระดับไขมันในเลือดสูง
ทำให้เกิดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด
โดยเฉพาะหากมีรอบพุงมาก ยิ่งทำให้เกิดไขมันสะสมในช่องท้องมากขึ้นตามไปด้วย
โดยไขมันที่สะสมจะแตกตัวเป็นกรดไขมันอิสระเข้าสู่ตับ
มีผลให้อินซูลินออกฤทธิ์ได้ไม่ดี เกิดเป็นภาวะอ้วนลงพุง
ซึ่งผู้ชายจะมีเส้นรอบเอวเกิน 90 เซนติเมตร ส่วนผู้หญิงจะมีเส้นรอบเอวเกิน 80 เซนติเมตร

ใครที่อ้วนลงพุงไปแล้วก็อย่าเพิ่งถอดใจค่ะ ยังมีหนทางป้องกันภาวะอ้วนลงพุงที่ดีที่สุดคือ
การยึดหลัก 3 อ.ได้แก่ อ.อาหาร อ.ออกกำลังกาย และ อ.อารมณ์

สำหรับ "อ.อาหาร" เราสามารถเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ ได้
โดยเฉพาะการเน้นไปที่เมนูเพื่อสุขภาพ
กรมอนามัยได้รณรงค์ให้คนไทยบริโภคอาหาร ที่ถูกส่วนในปริมาณที่เหมาะสม ด้วยเมนูอาหารไทยไร้พุง อาทิ
ชุดส้มตำ-ไก่ย่าง ให้พลังงาน 262 กิโลแคลอรี
เกาเหลาเป็ด ให้พลังงาน 156 กิโลแคลอรี
ข้าวน้ำพริกลงเรือให้พลังงาน 325 กิโลแคลอรี
ข้าวหมูอบผัก ให้พลังงาน 256 กิโลแคลอรี
ปลากะพงนึ่งมะนาว ให้พลังงาน 140 กิโลแคลอรี
ก๋วยเตี๋ยวลุยสวน ให้พลังงาน 118 กิโลแคลอรี
ยำผักหวาน ให้พลังงาน 1280 กิโลแคลอรี เป็นต้น

โดย ประชาชนที่สนใจเมนูอาหารไร้พุง กรมอนามัยได้มีการดำเนินงานเมนูอาหารไทยไร้พุง
ในร้านอาหารตามจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ ประมาณ 200 ร้าน และจะมีการขยายร้านอาหารไทยไร้พุงเพิ่มขึ้น
เพื่อให้ประชาชนได้เข้าถึงอาหารที่เอื้อต่อการมีสุขภาพดีต่อไป
ซึ่งหากจะให้ครบถ้วนสมบูรณ์ต้องรวมไปถึงเรื่องเครื่องดื่มด้วย โดยเครือข่ายองค์กรงดเหล้าในการสนับสนุนของ
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้กำหนดคอนเซ็ปต์ไว้ว่า
อาหารลดพุงแล้วจะต้องไร้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วยจึงจะไม่อ้วน

ส่วน "อ.ออกกำลังกาย" เราสามารถทำได้
โดยแบ่งเวลาอย่างน้อยวันละ 15 นาที ไปออกกำลังกายเพื่อยืดเส้นยืดสาย ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยส่งผลให้ "อ.อารมณ์" รู้สึกเบาสบายด้วย และต้องไม่ลืมว่าในภาวะอื่นๆ ของชีวิตประจำวัน
เราก็ต้องพยายามทำจิตใจให้แจ่มใสอยู่เสมอ ปรับทัศนคติต่อสิ่งต่างๆ ไปในทางบวกมองโลกในแง่ดี
จะช่วยให้อารมณ์เย็น รู้สึกผ่อนคลาย

อย่างน้อยแค่ไม่อ้วนลงพุง ก็ช่วยลดโรคให้ร่างกายได้มากแล้ว
เพราะความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐที่ใครๆ ต่างก็ปรารถนา


ที่มา http://www.thaihealth.or.th/node/11688

8 วิธีลดความอ้วน อย่างปลอดภัย


8 วิธีลดความอ้วน อย่างปลอดภัย
1. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการกินใหม่ เลือกทานแต่อาหารที่มีประโยชน์
เช่น ผัก ผลไม้ และควรทานให้ได้ทุกมื้อ เพราะมีไฟเบอร์และวิตามินสูง

2. หลีกเลี่ยงของมันต่างๆ อาหารที่ปรุงจากการทอด
ควรเลือกทานเนื้อปลา ปู กุ้ง ซึ่งให้ไขมันน้อยกว่าเนื้อหมูและวัว

3. รับประทานอาหารให้ครบ 3 มื้อ โดยเฉพาะมื้อเช้าสำคัญที่สุด

4. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ควบคู่ไปกับการควบคุมอาหาร เพราะจะให้ผลที่ดีกว่าและเร็วกว่า

5. ห้ามใช้ยาลดน้ำหนัก เพราะทำให้ร่างกายขาดเกลือแร่ที่สำคัญ อาจเป็นอันตรายต่อไตได้

6. ดื่มน้ำสะอาดให้ได้วันละ 6 - 8 แก้ว มีผลวิจัยออกมาว่าการดื่มน้ำเยอะๆ ช่วยลดน้ำหนักได้

7. ตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกที

8. มีความตั้งใจจริง เพราะถ้าไม่มีสิ่งนี้ คุณจะไม่ประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนักได้เลย


ที่มา http://women.thaiza.com/detail_32672.html

ข้อห้ามสำหรับสาวไดเอท


ถ้าใครลดน้ำหนักด้วยวิธีเหล่านี้อยู่ขอบอกว่า นอกจากจะทำให้การลดน้ำหนักไม่เป็นผลแล้ว
ยังจะทำให้คุณสาวๆ อ้วนฉุกว่าเดิมอีกด้วยล่ะค่ะ อยากจะรู้แล้วใช่มั้ยล่ะ มาดูกันค่ะว่ามีอะไรบ้าง

เลือกที่จะอดอาหาร
การอดไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องเพราะยิ่งอดก็จะยิ่งหิว และถ้ากินก็จะกินมากกว่าปกติอีกด้วย
ดังนั้น ควรเปลี่ยนจากอดมาเป็นทานทุกมื้อแต่น้อยลงจะดีกว่าค่ะ

เลือกทานอาหารที่ตัวเองชอบอยู่เป็นประจำ แต่ลดอาหารชนิดอื่นๆ ลงไป
อันนี้ไม่ดีเลยค่ะ เพราะอาหารที่คุณชอบนั้นก็จะยิ่งเพิ่มทวีปริมาณการกินขึ้นไปอีกนะคะ

ไม่ออกกำลังกาย เพราะคิดว่าไหนๆ ก็กินน้อยอยู่แล้วทำไมจะต้องออกกำลังกายอีก
ถ้าคิดอย่างนั้นควรคิดใหม่นะคะ เพราะการออกกำลังกายถือว่าเป็นหัวใจหลักในการลดน้ำหนักเลยล่ะค่ะ

คิดเห็นตามคนอื่นตลอดเวลา
การลดน้ำหนักที่ถูกต้องคือ คุณต้องมีจุดยืนของ ตัวเองนะคะ และสามารถทำให้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
เช่น อาทิตย์นี้จะลด 2 กิโล ก็ต้องทำให้ได้
อย่าคิดว่าเดี๋ยวค่อยลดก็ได้ เพราะถ้าคิดอย่างนี้คุณก็ไม่สามารถลดได้หรอกค่ะ

ยังติดดื่มพวกเครื่องดื่มน้ำอัดลมอยู่
ควรเปลี่ยนจากการดื่มอย่างนั้นมาดื่มน้ำเปล่าแทนจะดีกว่าค่ะ ถึงแม้จะไร้รส ไร้กลิ่น แต่ก็ดีต่อสุขภาพนะคะ

อย่าหักโหม
คิดแต่เพียงจะอดอย่างเดียว ต้องดูสุขภาพร่างกายตัวเองเป็นหลักด้วย
ไม่ใช่คิดว่าเพราะเนื้อสัตว์ติดไขมันเป็นสิ่งที่ทำให้อ้วน แล้วเลิกกินเลยตอนนั้นร่างกายคงจะปรับตัวไม่ทันแน่ๆ
ควรที่จะค่อยๆ ลดและเลิกไปในที่สุดจะดีกว่าค่ะ

เครียด
ความเครียดเป็นอุปสรรคสำคัญในการลดน้ำหนัก อย่างมากเลยทีเดียวค่ะ
เพราะฉะนั้นหยุดเครียด ! เพราะตัวคุณเองต้องเป็นกำลังใจให้ตัวเองถึงจะถูกต้องนะคะ

อย่ากลับไปใช้ชีวิตการกินแบบเดิม
เพราะน้ำหนักจะขึ้นจะลงอยู่ที่พฤติกรรมการกินของคุณนั่นแหละ
ถ้ายังกินจุบกินจิบ กินได้ทั้งวัน น้ำหนักที่คุณไม่ปรารถนาก็จะกลับมาหาคุณแน่ๆ ค่ะ

ท้ายที่สุดนี้ขอเพียงมีความตั้งใจ มีความแน่วแน่
สิ่งที่คิดและตั้งใจไว้อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอนค่ะ


ที่มา :http://www.petsang.com/diet1/312-diet-4.html
ภาพจาก :http://media.paran.com/snews/newsprint.php?dirnews=543666&year=2009

หยุดพฤติกรรมร้ายทำลายหุ่น


หยุดพฤติกรรมร้ายทำลายหุ่น
เรื่องของพฤติกรรมเป็นอะไรที่ติดตัวสาวๆ เป็นอย่างมาก
เพราะบางการกระทำของคุณนั้นส่อเค้าว่า กำลังทำร้ายร่างกายตัวเองอย่างตั้งใจ เลยล่ะค่ะ
อย่างการกินอาหารเนี่ยก็เป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับผู้หญิงเรามากๆ เลยน่ะค่ะ
เพราะพฤติกรรมการรับประทานอาหารในชีวิตประจำวันของเรานั้น
สามารถที่จะเสริมสร้างหรือทำลายรูปร่างสวยๆ ของตัวเองได้อย่างไม่น่าเชื่อเลยล่ะค่ะ

เรามาดูกันดีกว่าว่าพฤติกรรมที่ว่านี้มีอะไรกันบ้าง

กินข้าวอย่างรวดเร็วจนเป็นนิสัย
สำหรับสาวๆ คนไหนที่มีพฤติกรรมในการกินเร็วๆ แบบว่าเร็วกว่าคนรอบข้างนั่นล่ะค่ะ
คุณควรรู้ไว้ว่าคุณเป็นคนหนึ่งที่เสี่ยง ต่อโรคอ้วน เพราะการกินแบบนี้กระเพาะยังไม่ทันรับรสเลยน่ะสิค่ะ

กินข้าวหน้าทีวีอย่างเพลิดเพลิน
การกินแบบนี้จะทำให้คุณน่ะเจริญอาหารอย่างไม่ รู้ตัวเลยล่ะค่ะ เพราะว่าคุณเกิดความเพลินสุดๆ
หารู้ไม่ว่านี่ล่ะเป็นการเพิ่มน้ำหนักโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นเปลี่ยนจากขนมกรุบกรอบ มาเป็นผลไม้แทนจะดีกว่ามั้ยค่ะ

เสียดายอะไรไม่เข้าเรื่อง
พฤติกรรมแบบนี้อ้วน มานักต่อนักแล้วล่ะค่ะ ถึงแม้จะอิ่มก็ต้องกินให้หมดจาน
บางคนไม่พอเห็นของคนอื่นเหลือก็ทำตัวเป็นหน่วยกำจัดอาหารอีกต่างหาก อย่าทำตัวเป็นสารกันบูดอยู่เลยค่ะ
ถ้ายังมีพฤติกรรมแบบนี้อยู่แล้วเมื่อไหร่จะผอมจ๊ะ

กินเอาคุ้ม(ประหยัดตังค์เข้าไว้)
ประเภทบุฟเฟ่ต์กินได้หมดทุกอย่างเติมไม่อั้น นี่ล่ะค่ะ ฟังไว้เลยว่า...คุณไม่จำเป็นที่จะต้องกินคุ้มมาก
ไม่ใช่เห็นอาหารเยอะแล้วต้องกินเอาคุ้มจนหน้ามืดตามัว
เอาแค่พอดีๆ พออิ่มก็พอ เพราะกระเพาะจะได้ไม่ต้องทำงานหนักมากไงค่ะ

จน เครียด กิน
คนประเภทนี้พอหาที่ระบายที่ไหนไม่ได้เป็นต้อง มาลงที่ท้องไส้ตัวเองทุกที กินๆ เข้าไปให้ตายกันไปข้าง
สุดท้ายไม่ตายแต่ต้องมานั่งกลุ้มใจ เพราะน้ำหนักเพิ่มอย่างฉุดไม่อยู่ เฮ้อ! กลุ้ม

อย่าหาข้ออ้างในการกิน
รู้ไว้เลยค่ะว่าเรารู้ทันความคิดคุณแล้วล่ะค่ะ
อย่าพยายามสรรหาเหตุผลมากมายมาประกอบการกินอาหารสุดโปรดของคุณ
จำไว้ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่คุณหลอกตัวเอง เมื่อนั้นรูปร่างของคุณก็จะเปลี่ยน ไปอย่างน่าเสียดายน่ะค่ะ

อย่าท้อถอยต่อการไดเอท
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่าน้ำหนักไม่สามารถลดได้ภายใน 1-2 วันแต่ต้องใช้เวลานิดนึงค่ะ
ขอเพียงว่าคุณมีความพยายามเท่านั้น อย่าเพิ่งหมดหวัง
สู้ๆ ต่อไปแล้วคุณจะประสบความสำเร็จเพราะไม่มีอะไรในโลกได้มาง่ายๆ ถ้าไม่ทำด้วยตัวเองค่ะ


ถ้าคุณสามารถทำได้ตามคำแนะนำนี้
รับรองว่าคุณจะเป็นคนหนึ่งที่สามารถพิชิตความอ้วนได้อย่างแน่นอนค่ะ สู้ๆน่ะค่ะ


ที่มา :http://www.petsang.com/diet1/315-diet-7.html
ภาพจาก :http://www.womansday.com/Articles/Health/

วันพุธที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เคล็ดลับเพื่ออกสวย


เคล็ดลับเพื่ออกสวย
คุณเคยมีปัญหาอย่างนี้ไหม?

1. เมื่อยหลัง เมื่อยไหล่ เมื่อยคอ

2. เป็นรอยแดงๆ จากการกดทับของเสื้อชั้นใน สายหรือแถบเสื้อในกดเนื้อเป็นรอยบุ๋ม
ขณะใส่ โครงเหล็ก/ลวด ใต้บรา บีบรัดและกดทับเนื้อหน้าอก พอถอดออกแล้วเห็นเป็นรอยแดง

3. เป็นจ้ำ เป็นผื่นแดง ผื่นคัน ผดหรือสิวบริเวณที่เสื้อชั้นในสวมทับ

4. เนื้อหน้าอก (นม) ล้นเต้า(Cup) เสื้อในออกมา (กรณีที่ใส่บราธรรมดา ไม่ใช่ Push- Up Bra
หรือเสื้อชั้นในแบบ Demibra หรือบิกินี่ เน้นการปกปิดที่น้อยที่สุดทำให้มันดูล้นๆ )

5. เสื้อชั้นในเหี่ยวๆ บุ๋ม หรือมีเนื้อที่เหลือระหว่างเสื้อชั้นใน กับเนื้อหน้าอก
6. เจ็บหน้าอก เวลาออกกำลังกาย เจ็บที่เนื้อ ผิวหนัง ไม่ใช่ที่อวัยวะภายใน เช่นกระดูก กระบังลม หัวใจ ปอด

ถ้าตอบว่าใช่ 1 ใน 6 ข้อข้างต้น แสดงว่า บราตัวนั้นๆ อาจไม่ใช่ขนาดที่เหมาะสมสำหรับคุณ


วิธีวัดขนาดบราที่ถูกต้อง

บราเซียร์ หรือเสื้อชั้นในนั้น มีไว้เพื่อพยุงหน้าอก ให้ได้รูปทรงที่ดูดี เสริมบุคคลิก ป้องกันการหย่อนคล้อย
แต่ถ้าหากคุณเลือกขนาดบราที่ไม่เหมาะสมกับคุณแล้ว ปัญหาปวดเมื่อย ผดผื่น ที่กล่าวมาข้างต้นก็อาจเกิดขึ้น
หรือถ้าใส่บราที่หลวมเกินไป มันก็ไม่สามารถช่วยพยุงทรงให้อยู่ในสภาพที่เหมาะสมได้
แทนที่จะเต่งตึง กลับทำให้เหี่ยวห้อยได้ ฉะนั้นมาหาขนาดบราที่เหมาะกับคุณกันเถอะ

1. วัดรอบตัว
การวัดรอบตัวทำได้ 2 วิธี ซึ่งควรจะวัดทั้ง 2 แบบ แล้วเปรียบเทียบกัน ถ้าวัดถูกต้อง ค่าที่ได้จะต้องเท่ากัน

แบบที่1 ใช้สายวัด วัดรอบลำตัวเหนือหน้าอก รอดใต้วงแขน วัดเป็นนิ้ว ถ้าได้เลขคี่ ให้ปัดขึ้นเป็นเลขคู่
เช่น 31 นิ้ว ปัดเป็น 32 นิ้ว ถ้าได้เลขคู่ ก็ใช้เลขนั้นได้เลย เช่น วัดได้ 32 นิ้ว ลำตัวของคุณคือ 32

แบบที่ 2 ใช้สายวัด วัดรอบลำตัว ใต้หน้าอก (แบบนี้คนไทยนิยมวัดกัน) วัดได้เท่าไหร่ บวกเพิ่มเข้าไปอีก 5 นิ้ว
เช่น วัดได้ 27 นิ้ว บวก 5 ค่าลำตัวของคุณคือ 32 ถ้าบวกออกมาได้เลขคี่ ให้ปัดขึ้นเป็นเลขคู่

*การวัดค่าลำตัว
ควรวัดแบบแนบๆ แน่นๆ ติดลำตัว ไม่ต้องหายใจเข้าให้ตัวพองๆ แล้วค่อยวัดเดี๋ยวจะได้ค่าเพี๊ยน

2. วัดรอบอก
การวัดรอบอก ใช้สายวัดวัดรอบจุดที่นูนที่สุดของหน้าอกคุณ แต่คราวนี้ให้วัดหลวมๆ หายใจปกติ วัดเป็นนิ้ว

3. หาขนาดเต้า หรือ Cup ด้วยการนำ รอบอก(นิ้ว) - รอบลำตัว(นิ้ว) หรือนำผลที่ได้จากข้อ 2
หักลบด้วยผลที่ได้จากข้อ1 ผลลัพธ์ที่ได้ จะเป็นค่า CUP ของเสื้อใน A B C D ตามตาราง

ผลต่าง (นิ้ว/inch) CUP
1. นิ้วหรือน้อยกว่า A
2. นิ้ว B
3. นิ้ว C
4. นิ้ว D

ตัวอย่าง รอบอก 33 นิ้ว ลบ ลำตัว 32 นิ้ว ขนาดคัพ A เวลาไปซื้อชุดชั้นใน = 32/A
เสื้อชั้นในบางยี่ห้อ ใช้เลขลำตัวหน่วยเป็น เซ็นติเมตร ลองเทียงค่าลำตัวจากนิ้วเป็น เซ็นติเมตรได้จากตารางด้านล่าง

นิ้ว เซ็นติเมตร
30 65
32 70
34 75
36 80
38 85

วิธีการวัดนี้เป็นวิธีสากล ที่เขาใช้วัดขนาดบรากัน
แต่ก็พบว่าผู้หญิงๆ หลายๆ คนวัดแล้วไม่ได้ค่าคัพตรงกับไซส์เสื้อชั้นในที่ใส่อยู่จริง
เช่น ปกติใส่ คัพ C แต่พอวัดด้วยวิธีนี้ ต้องใส่คัพ A สรีระของแต่ละคนอาจแตกต่างกันไป
และเสื้อชั้นในสมัยนี้ส่วนใหญ่จะเป็น Push-Up Bra หรือบราดันทรงที่มีโครงลวด มีแผ่นฟองน้ำเสริมทรง
มีแผ่นดันทรงวางไว้ใต้หน้าอกอีกที ทำให้ผู้หญิงมักจะต้องใส่เสื้อชั้นในขนาดคัพใหญ่กว่าปกติ 1 ไซส์
เพราะมีอุปกรณ์ส่งเสริมเหล่านี้ เข้ามาช่วยเสริมให้ดูอวบอิ่มขึ้นนั่นเอง

ดังนั้นถ้าได้ขนาดคัพที่ไม่ตรงกับที่ใส่อยู่จริง เราก็ใช้ค่ารอบลำตัว ไปใช้ซื้อเสื้อชั้นใน
ส่วนจะใส่คัพอะไรนั้น ดันมาก-ดันน้อย ต้องไปลองกันเอาเอง

4. ขนาดคัพเท่ากัน ขนาดลำตัวต่างกัน เลือกใส่ตามความเหมาะสมยืดหยุ่นได้

เสื้อชั้นในมีขายหลากหลายยี่ห้อ แต่ละยี่ห้อ ก็มีรูปแบบ และทรงที่แตกต่างกัน
จึงไม่แปลกหากคุณใส่บรายี่ห้อหนึ่งขนาด 34/75 B แต่เมื่อไปซื้ออีกยี่ห้อ กลับใส่ 36/80 A แล้วพอดีกว่า
เพราะ ขนาดเต้า/cup ของเสื้อในขนาด 36/80 A ใหญ่เท่ากับเสื้อในขนาด 34/75 B และยังเท่ากับ 32/70 C ด้วย
ขนาดคัพเท่ากัน แต่ขนาดลำตัวต่างกัน ขึ้นอยู่กับความยืดหยุ่นของเนื้อผ้า และรูปทรงการตัดเย็บของแต่ละยี่ห้อ

ดังนั้นการซื้อเสื้อชั้นในควรลองสวมดูก่อนทุกครั้ง ถ้าไม่พอดี ก็ลองเลือกขนาดที่ใหญ่ขึ้น หรือเล็กลง
(ดูตารางเทียบไซส์คัพที่เท่ากันได้ด้านล่าง) มาลองดูจนเป็นที่พอใจ อย่าไปยืดกับไซส์เดิมๆ
สำคัญที่ ใส่แล้วคัพของเสื้อในต้องแนบสนิทกับเนื้อหน้าอกของเรา ไม่เหลือช่องว่าง
ถ้าเหลือแสดงว่าคัพใหญ่เกินไป แต่ก็ไม่เล็กแน่นเสียจนล้น (ยกเว้นตั้งใจดัน)
ส่วนขนาดลำตัวสวมแล้วควรพอดี ไม่แน่นจนรู้สึกอึดอัด
และถ้าลองยกแขนทั้งสองขึ้นบิดซ้ายบิดขวา แถบลำตัวเสื้อชั้นในต้องไม่ถลนขึ้นมา
ถ้าใช่ลองเลื่อนตะขอเข้าอีกนิด หรืออาจเปลี่ยนตัวใหม่ที่มีขนาดลำตัวเล็กลง

ตารางเปรียบเทียบขนาดคัพ(ปริมาตร) ที่เท่ากัน แต่ลำตัวต่างกัน (ดูตามแนวดิ่ง)
32/70 A 34/75 A 36/80 A 38/85 A 38/85 B
30/65 B 32/70 B 34/75 B 36/80 B 36/80 C
30/65 C 32/70 C 34/75 C 34/75 D

5. ขนาดหน้าอกเราเปลี่ยนแปลงได้ ตามน้ำหนัก และฮอร์โมน
เช่น ถ้าน้ำหนักขึ้น หน้าอกก็ใหญ่ขึ้น เช่นเดียวกับน้ำหนักลง หน้าอกก็ลดลงได้ด้วยเช่นกัน
จะมากหรือน้อยแล้วแต่คน นอกจากนี้ระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงก็มีผลต่อขนาดของหน้าอกด้วย
เช่น ผู้หญิงหลายๆ คน จะตึงคัดเต้านม หรือเจ็บหน้าอกและขนาดหน้าอกขยายขึ้นเล็กน้อย
ช่วงก่อนมีประจำเดือน-ช่วงมี ประจำเดือน รวมถึงช่วงตั้งครรภ์ด้วย

สำหรับกรณีที่เจ็บและคัดหน้าอกมาก และหน้าอกขยายค่อนข้างมากในช่วงเวลาดังกล่าว
อาจหาซื้อชุดชั้นในที่เนื้อผ้ายืดหยุ่นได้มาก เช่นประเภท Convertible Bra, Sport Bra
หรือซื้อเสื้อชั้นในขนาดคัพใหญ่ขึ้น เพื่อใส่ช่วงวันนั้นๆ เพื่อความสบายตัว
ไม่จำเป็นต้องยืดติดว่า คุณจะต้องใส่เสื้อชั้นในขนาดเดิมขนาดเดียวไปตลอด

6. ควรวัดขนาดหน้าอกตัวเอง ทุกๆ 1-2 ปี
และ/หรือ คอยสังเกตว่ารู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัว เวลาสวมใส่เสื้อชั้นในหรือไม่
เพราะอาจเป็นสัญญาณบอกให้คุณเปลี่ยนขนาด เปลี่ยนแบบ เปลี่ยนยี่ห้อเสื้อชั้นในได้แล้ว

เสื้อชั้นในควรซักมือ ตากในที่ร่มลมโกรก หรือแดดอ่อนๆ ส่วนกางเกงชั้นในใส่แล้วซัก
อย่าหมักหมม เดี๋ยวเชื้อรา เชื้อแบคทีเรียจะมาเพาะพันธุ์ ซักมือหรือเครื่อง แล้วตากแดดฆ่าเชื้อโรคจะดีกว่า


เคล็ดลับเพื่ออกสวย
ที่มา http://www.fwdder.com/topic/97013/hl=ข้อ
ภาพจาก http://www.fotosearch.com/IHT127/ih027016

สวยใส ด้วยสูตรการดูแลตัวเองในวันว่าง


สวยใส ด้วยสูตรการดูแลตัวเองในวันว่าง
ลองทำตามสูตรความสวยที่เอามานำเสนอดู แล้วจะเชื่อว่าเราสามารถสวยเด้งได้ด้วยการเมคตัวเอง
ขอเพียงมีวันว่างๆ สักวันเท่านั้นแหละ อะๆ สนใจแล้วรึยังล่ะ
ถ้าสนใจแล้วก็เตรียมพร้อมมาเมคตัวเองให้สวยใสสไตล์เจ้าหญิงกันไปเลย!

06.00 น. ตื่นตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อให้สมองปรอดโปร่งรับอากาศยามเช้า
แต่ก่อนนอนคืนนั้นจะต้องเข้านอนไม่เกินสี่ทุ่มนะจ๊ะ ไม่อย่างนั้นอาจจะตื่นมาด้วยสมองที่ก่งก๊งก็เป็นได้

06.15 น. ดื่มน้ำเปล่าสะอาด 1 แก้ว ขอให้เป็นน้ำอุณหภูมิห้องจะดีที่สุด
เพราะร่างกายของเราขาดน้ำติดต่อกันมาหลายชั่วโมงแล้ว เราจึงต้องรีบเติมน้ำเพื่อให้ผิวริมฝีปากชุ่มชื้น

06.20 น. ออกกำลังกายเล็กน้อย เช่น อาจจะขยับร่างกายเร็วๆ วิ่งอยู่กับที่สัก 20 นาที เพื่อให้ร่างกายตื่นตัว

07.00 น. อาบน้ำ แปรงฟัน จัดร่างกายให้สะอาดสดชื่น
ที่สำคัญ อย่าอั้นอุนจิเอาไว้ เพราะมันจะกลายเป็นของเสียสะสมอยู่ในร่างกายของเรา
เราควรถ่ายให้เป็นเวลาทุกเช้า จะช่วยให้เราสุขภาพดี ผิวพรรณดี ท้องไม่ป่อง และไม่ป่วยง่ายด้วยจ้ะ
ส่วนการแปรงฟันนั้น เราต้องแปรงให้สะอาด เพื่อขจัดคราบน้ำลายที่เกาะอยู่ตามผิวฟันตลอดทั้งคืน
เราคงไม่อยากอ้าปากอวดกลิ่นน้ำลายเน่าๆ ในปากของเราให้คนอื่นดมหรอกใช่ไหมล่ะ

07.30 น. ถึงเวลาอาหารเช้าแล้ว อาหารมื้อนี้ห้ามงด ห้ามอดนะจ๊ะ
เพราะเป็นมื้อแรกของวันสำคัญที่ควรกินให้ครบ 5 หมู่
ก่อนกินให้ดื่มน้ำสะอาด 1 แก้ว และหลังกินเสร็จตามเข้าไปอีก 1 แก้วด้วยล่ะ อย่าลืม

08.00 น. ตอนนี้เรามาเริ่มสร้างบรรยากาศในห้องของเราให้ดูดีกันดีกว่า
เริ่มจากการทำความสะอาด เช็ดฝุ่นออก และจัดห้องให้เป็นระเบียบน่าอยู่
เหตุผลที่ชวนเพื่อนๆ มาจัดห้องเพราะว่า ห้องนอนคือห้องที่เราจะต้องอยู่ทุกวัน
ดังนั้นการที่ปล่อยให้ห้องนอนของเราอมฝุ่น ก็เท่ากับเรานอนสูดฝุ่นที่เต็มไปด้วยเชื้อโรคทุกคืน
การปล่อยให้ห้องของเราเต็มไปด้วยขยะ ก็เท่ากับเรานอนอยู่บนกองขยะ
และการปล่อยให้ห้องรก อาจจะทำให้สัตว์อันตรายอย่างงู หรือแมลงมีพิษชอบใจมาขออาศัยอยู่ด้วยก็เป็นได้

นอกจากนี้การทำให้ห้องเราสวยๆ เต็มไปด้วยของกุ๊กกิ๊กน่ารัก ก็ทำให้เรามีความสุข
และทำให้สุขภาพจิตของเราดีขึ้นด้วย

12.00 น. หลังจากทำความสะอาดห้องเรียบร้อย อย่าลืมล้างมือด้วยล่ะ จากนั้นก็ถึงเวลาอาหารกลางวันแล้ว
แน่นอนว่าต้องตามสูตรเดิมคือ ครบ 5 หมู่ ดื่มน้ำก่อนอาหาร 1 แก้ว และหลังอาหาร 1 แก้วนะจ๊ะ

13.00 น. ถึงเวลาทำสวยให้ร่างกายของเราแล้ว เริ่มต้นจากเส้นผมก่อนเป็นอันดับแรก
วิธีก็คือทำการหมักผมเพิ่มความสวยให้เส้นผมของเราซะ ส่วนสูตรหมักผม เลือกเอาตามที่นำมาเสนอได้เลย

* ตีไข่แดง + น้ำมันมะกอก + น้ำผึ้ง ผสมให้เข้ากัน หมักผมทิ้งไว้ 15 นาที แล้วสระออก
ผมจะนุ่มสลวยเป็นเงางาม มีน้ำหนัก จับสบายมือจ้า

* กล้วยหอมบด + น้ำมันมะกอก + น้ำผึ้ง ตีให้เข้ากันแล้วหมักผมทิ้งไว้ 15 – 20 นาทีก่อนสระออก
ผมจะนุ่ม เป็นเงางาม น่าสัมผัสมากมายเลยล่ะ

* หัวกะทิ + น้ำมะกรูด ผสมกัน หมักผมทิ้งไว้ 15 – 20 นาที แล้วสระออก ผมจะดกดำ นุ่มเป็นเงางาม

* น้ำผึ้ง + น้ำมันมะกอกอุ่มนิดๆ ให้พอร้อน + กล้วยปอกเปลือก + น้ำเปล่าครึ่งถ้วย ผสมกัน
หมักผม 15 – 20 นาทีแล้วล้างออก จะช่วยให้ผมสวยเป็นเงางามได้จ้ะ

* ส่วนใครที่ไม่ชอบที่ส่วนผสมยุ่งยาก อาจจะทำได้โดยซื้อครีมหมักผมมาหมักผมทิ้งไว้
ถ้าจะให้เริ่ดก็อบไอน้ำไปเลย ผมจะได้นุ่มสลวยสวยเก๋ไงจ๊ะ

หลังจากหมักผมแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนของการพอกหน้าใสเด้งๆ
ทำตามขั้นตอนและเลือกสูตรใดสูตรหนึ่งตามคำแนะนำได้เลยจ้า

1. ล้างหน้าด้วยคลีนซิ่งล้างเครื่องสำอาง โลชั่นกันแดด หรือโลชั่นบำรุงผิวที่อุดตันออกให้หมด
จากนั้นตามด้วยโฟมล้างหน้า 1 รอบ

2. เช็ดหน้าให้สะอาด เริ่มต้นบำรุงผิวหน้าด้วยสูตรที่จะแนะนำได้เลย

* นำกล้วยหอม + นมจืด + มะนาว + โยเกิร์ต + น้ำผึ้งมาผสมรวมกัน
จากนั้นก็นำไปปั่นแล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ 20 นาทีแล้วล้างออก จากนั้นทิ้งไว้ 5 นาที
แล้วพอกซ้ำอีกครั้งด้วยน้ำผึ้ง ทิ้งไว้อีก 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่นและสบู่อ่อนๆ เท่านี้ก็เรียบร้อย

* นำแอปเปิ้ลมาปอกเปลือกแล้วเอาไปปั่น ผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ ปั่นให้เข้ากันแล้วพอกหน้าทิ้งไว้ 15 นาที
จากนั้นล้างออกด้วยน้ำนมและตามด้วยน้ำสะอาด

* สำหรับคนหน้ามันโดยเฉพาะ ให้นำโยเกิร์ตรสธรรมชาติแช่ให้เย็นเฉียบ
จากนั้นนำมาพอกหน้า ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วเช็ดออก เท่านี้หน้าก็จะใสปิ๊งๆ

* ฝานแตงโมเป็นชิ้นบางๆ นำมาวางบนใบหน้า คลุมทับด้วยผ้าสะอาด ทิ้งไว้ 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น


เอาล่ะ เมื่อหน้าใสปิ๊งกิ๊งสุดๆ กันแล้ว เราก็มาดูแลผิวกายของเราด้วยการขัดสีฉวีวรรณ ทำตามได้ดังนี้เลยจ้า

1. เก็บผมของเราให้เรียบร้อยก่อนด้วยหมวกคลุมผมนะ
2. เข้าตู้อบไอน้ำ (ถ้ามี) เพื่อให้ผิวเปิด และชำระล้างสิ่งสกปรกออกจากรูขุมขน
3. รองน้ำอุ่นลงอ่างอาบน้ำได้เลย

4. ระหว่างรอน้ำอุ่นเต็ม ให้เริ่มต้นราดตัวด้วยน้ำอุ่น แล้วเทสครับลงบนมือ
จัดการขัดตัวให้เรียบร้อยโดยการขัดเบาๆ หมุนวนทวนเข็มนาฬิกาทุกส่วน
ส่วนไหนขัดไม่ถึง เช่นหลังให้ใช้ใยบวบ แปรงขัดผิว หรือฟองน้ำช่วย

5. ล้างตัวให้เรียบร้อยด้วยน้ำอุ่นอุณหภูมิห้อง

6. เอาล่ะ น้ำเต็มอ่างแล้ว ปิดน้ำ แล้วเทหัวเชื้อน้ำนมลงอ่าง (มีขายตามร้านความสวยความงามทั่วไปจ้ะ)
ผสมให้เข้ากัน แล้วลงไปนอนแช่ให้สบายใจสัก 20 นาที

7. ระหว่างนี้ถ้าจะให้เวิ้ร์ก น่าจะมีเทียนหอมเพิ่มความผ่อนคลายนิดนึง
8. ลุกจากอ่าง เช็ดตัวให้แห้งด้วยผ้าขนหนูนุ่มๆ
9. ทาโลชั่นบำรุงผิว เป็นอันเสร็จพิธี

17.00 น. อาบ น้ำทำสวยเรียบร้อย โหย...ใกล้หมดวันเต็มที ทีนี้ก็ถึงเวลาอาหารเย็น
อย่าลืมสูตรเดิมนะ ดื่มน้ำก่อนกินอาหาร 1 แก้ว และหลังกินอาหาร 1 แก้ว
มื้อเย็นนี้ ถ้าจะให้ดีไม่ควรจะกินมื้อใหญ่ เอาแค่พออิ่มก็พอแล้วล่ะ

18.00 น. อนุญาติให้พักผ่อน ทำอะไรก็ได้ตามอัธยาศัย แต่ต้องไม้หักโหม
อย่าลืมว่าวันนี้เป็นวันที่เราจะทำตัวเป็นเจ้าหญิง ดังนั้นให้ใช้เวลาพักผ่อนให้เต็มที่
อาจจะเปิดรายการโปรดดู นอนฟังเพลง ไปเดินเล่นในสวน นั่งสมาธิ อ่านหนังสือ ก็ตามแต่เราจะสบายใจได้เลย
ถ้าเป็นไปได้ วันนี้ปิดโทรศัพท์ซะ ขออยู่สบายๆ งดคุยกับใครชั่วคราว

21.00 น. เตรียมตัวเข้านอน ให้ล้างหน้าอีก 1 รอบ ทาครีมบำรุงผิวหน้า แปรงฟันให้สะอาด
ดื่มน้ำเปล่า 1 แก้ว จากนั้นก็จัดห้องนอนให้น่านอนได้แล้ว



ที่มา http://campus.sanook.com/teen_zone/senior_05386.php

5 สิ่งที่ผิวอยากเผย...


ขอฟื้นฟูตัวเองตามกลไกธรรมชาติ

ผิวต้องการการบำรุง แต่ก็ใช่ว่าเจ้าของผิวสวย จะต้องประโคมเครื่องสำอางหรือโพรดักซ์ไปซะทุกครั้ง
มาดูความต้องการจริงๆ ของผิว จากเครื่องสำอางแบรนด์ไทยอย่าง “สบายอารมณ์” กันว่า
แท้จริงแล้วผิวพรรณของสาวไทย

ผิวคุณเปลี่ยนแปลงทุกวัน ลองสังเกตผิวใกล้ๆ ดูสิ คุณจะเห็นได้ว่า ผิวหน้าไม่อาจคงสภาพเดิมๆ ได้ในทุกวัน
แต่เปลี่ยนแปลงไปตามปัจจัยอย่างสภาพอากาศ หรือสภาพอารมณ์ที่แตกต่างกัน
ผิวที่ปกติเคยดูแห้ง รูขุมนเล็ก ก็อาจกลายเป็นผิวมันและรูขุมขนกว้างได้ในบางวัน
เครื่องสำอางเพียงชุดเดียว จึงไม่อาจตอบโจทย์ทุกการเปลี่ยนแปลงขอผิวได้เลย

วิธีดูแลผิวที่ฉลาดคือ
การสังเกตสภาพผิวในแต่ละวัน และมีเครื่องสำอางที่ตอบโจทย์กับสภาพผิวในวันนั้นๆ
ทางที่ดีควรมีทั้งสูตรสำหรับวันที่ผิวต้องการการบำรุงเป็นพิเศษ
และสูตรธรรมชาติ อ่อนโยนสำหรับวันที่ผิวควรหยุดพัก


ผิวก็อยากมีวันหยุดบ้าง
ผิวไม่ต่างจากร่างกาย ที่ต้องการพักผ่อนจากการทำงานหนักมาอย่างต่อเนื่อง ยาวนาน
นอกจากความเครียดและมลภาวะแล้ว คุณอาจไม่ทราบว่าเครื่องสำอาง และครีมบำรุงหลากชนิดที่คุณใช้ทุกวัน
ก็เป็นภาระอันหนักหน่วงสำหรับผิวเช่นกัน ปล่อยให้ผิวหายใจและฟื้นฟูตามธรรมชาติบ้าง
และถ้าอยากดูแลผิวในวันที่ผิวอ่อนล้า ก็ควรเลือกเครื่องสำอางสูตรอ่อนโยนหรือ สูตรธรรมชาติมากที่สุด
เพื่อให้สุขภาพผิวของคุณแข็งแรงอย่างยั่งยืน


ผิวมีกลไกดูแลตัวเองตามธรรมชาติ
ไม่จำเป็นต้องพึ่งเครื่องสำอางมากเกินไป ผิวทำงานอยู่ตลอดเวลา
โดยเฉพาะในยามหลับ ผิวยิ่งทำหน้าที่อย่างแข็งขันในการฟื้นฟูเซลล์ผิว สร้างภูมิต้านทาน
พร้อมปรับสมดุลการทำงานของต่อมไขมันใต้ชั้นผิว

แต่การบำรุงผิวยามค่ำคืนด้วยเรื่องสำอางเข้มข้นและมากพิธีกรรม ติดต่อยาวนาน ต่อเนื่อง
มีส่วนทำให้ผิวเคยชินกับการได้รับการปรนเปรอ จากเครื่องสำอางแทนการฟื้นฟูตัวเองตามกลไกของธรรมชาติ
ในที่สุด ผิวจะลดการทำงานจนหย่อนยาน ขาดประสิทธิภาพ

หากคุณยังอยากให้ผิวทำงานตามกลไกของตามธรรมชาติ
ลองปรับการดูแลผิวให้เรียบง่ายขึ้น และมองหาสกินแคร์ที่เป็นมิตรต่อธรรมชาติของผิว


ผิวไม่ต้องการเครื่องสำอางสังเคราะห์และของแถม
เครื่องสำอางสังเคราะห์ที่คุณใช้มีอาหารบำรุงผิวก็จริง แต่ก็มีสารเคมีผิวคุณไม่ต้องการแถมมาด้วย
เช่นสารสังเคราะห์ที่ทำให้เนื้อครีมเนียนสวย หรือสารที่ให้ความรู้สึกนุ่มลื่น
สารเหล่านี้ช่วยให้คุณ‘รู้สึกดี’ ขณะใช้ แต่แท้จริงแล้ว ไม่ได้มีบทบาทในการบำรุงผิวแต่อย่างใด
ทั้งยังเป็นภาระให้ผิวและอวัยวะอื่นๆ ต้องทำงานหนักในการกำจัดสิ่งที่ร่างกายไม่ต้องการ
ซึ่งหากผิวเรียกร้องได้ ผิวกลับต้องการอาหารผิวจากธรรมชาติที่เป็นมิตรและกลมกลืนกับร่างกาย
หรืออย่างน้อยๆ บำรุงอาทิตย์ละ 2 – 3 วัน


สมุนไพรไทยย่อมเหมาะกับผิวคนไทย
คงจะไม่มีสมุนไพรไหนๆ ที่เหมาะกับคนไทยมากไปกว่าสมุนไพรไทย
เพราะร่างกายของเรามีความคุ้นเคยกับสมุนไพรไทยเป็นอย่างดี โอกาสที่ร่างกายจะต่อต้านจึงมีน้อยกว่า

นอกจากนี้ ศาสตร์บำบัดตะวันออก ยังเชื่อด้วยว่าพืชที่เติบโตมาบนผืนดินของเราเอง
จะมีความกลมกลืนกับร่างกายขอเราได้ดีที่สุด

เครื่องสำอางจากสมุนไพรไทย ที่พัฒนาบนองค์ความรู้ด้านตำรับความงามแบบไทย
จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคนไทยอย่างเรา


ที่มา :http://www.thaihealth.or.th/node/12361

รายการบล็อกของฉัน