วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

พฤติกรรมร้ายทำลายหุ่น


พฤติกรรมร้ายทำลายหุ่น
เรื่องของพฤติกรรมเป็นอะไรที่ติดตัวสาวๆ เป็นอย่างมาก
เพราะบางการกระทำของคุณนั้นส่อเค้าว่า กำลังทำร้ายร่างกายตัวเองอย่างตั้งใจ เลยล่ะค่ะ
อย่างการกินอาหารเนี่ยก็เป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับผู้หญิงเรามากๆ เลยน่ะค่ะ
เพราะพฤติกรรมการรับประทานอาหารในชีวิตประจำวันของเรานั้น
สามารถที่จะเสริมสร้างหรือทำลายรูปร่างสวยๆ ของตัวเองได้อย่างไม่น่าเชื่อเลยล่ะค่ะ

เรามาดูกันดีกว่าว่าพฤติกรรมที่ว่านี้มีอะไรกันบ้าง

กินข้าวอย่างรวดเร็วจนเป็นนิสัย
สำหรับสาวๆ คนไหนที่มีพฤติกรรมในการกินเร็วๆ แบบว่าเร็วกว่าคนรอบข้างนั่นล่ะค่ะ
คุณควรรู้ไว้ว่าคุณเป็นคนหนึ่งที่เสี่ยง ต่อโรคอ้วน เพราะการกินแบบนี้กระเพาะยังไม่ทันรับรสเลยน่ะสิค่ะ

กินข้าวหน้าทีวีอย่างเพลิดเพลิน
การกินแบบนี้จะทำให้คุณน่ะเจริญอาหารอย่างไม่ รู้ตัวเลยล่ะค่ะ เพราะว่าคุณเกิดความเพลินสุดๆ
หารู้ไม่ว่านี่ล่ะเป็นการเพิ่มน้ำหนักโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นเปลี่ยนจากขนมกรุบกรอบ มาเป็นผลไม้แทนจะดีกว่ามั้ยค่ะ

เสียดายอะไรไม่เข้าเรื่อง
พฤติกรรมแบบนี้อ้วน มานักต่อนักแล้วล่ะค่ะ ถึงแม้จะอิ่มก็ต้องกินให้หมดจาน
บางคนไม่พอเห็นของคนอื่นเหลือก็ทำตัวเป็นหน่วยกำจัดอาหารอีกต่างหาก อย่าทำตัวเป็นสารกันบูดอยู่เลยค่ะ
ถ้ายังมีพฤติกรรมแบบนี้อยู่แล้วเมื่อไหร่จะผอมจ๊ะ

กินเอาคุ้ม(ประหยัดตังค์เข้าไว้)
ประเภทบุฟเฟ่ต์กินได้หมดทุกอย่างเติมไม่อั้น นี่ล่ะค่ะ ฟังไว้เลยว่า...คุณไม่จำเป็นที่จะต้องกินคุ้มมาก
ไม่ใช่เห็นอาหารเยอะแล้วต้องกินเอาคุ้มจนหน้ามืดตามัว
เอาแค่พอดีๆ พออิ่มก็พอ เพราะกระเพาะจะได้ไม่ต้องทำงานหนักมากไงค่ะ

จน เครียด กิน
คนประเภทนี้พอหาที่ระบายที่ไหนไม่ได้เป็นต้อง มาลงที่ท้องไส้ตัวเองทุกที กินๆ เข้าไปให้ตายกันไปข้าง
สุดท้ายไม่ตายแต่ต้องมานั่งกลุ้มใจ เพราะน้ำหนักเพิ่มอย่างฉุดไม่อยู่ เฮ้อ! กลุ้ม

อย่าหาข้ออ้างในการกิน
รู้ไว้เลยค่ะว่าเรารู้ทันความคิดคุณแล้วล่ะค่ะ
อย่าพยายามสรรหาเหตุผลมากมายมาประกอบการกินอาหารสุดโปรดของคุณ
จำไว้ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่คุณหลอกตัวเอง เมื่อนั้นรูปร่างของคุณก็จะเปลี่ยน ไปอย่างน่าเสียดายน่ะค่ะ

อย่าท้อถอยต่อการไดเอท
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่าน้ำหนักไม่สามารถลดได้ภายใน 1-2 วันแต่ต้องใช้เวลานิดนึงค่ะ
ขอเพียงว่าคุณมีความพยายามเท่านั้น อย่าเพิ่งหมดหวัง
สู้ๆ ต่อไปแล้วคุณจะประสบความสำเร็จเพราะไม่มีอะไรในโลกได้มาง่ายๆ ถ้าไม่ทำด้วยตัวเองค่ะ


ถ้าคุณสามารถทำได้ตามคำแนะนำนี้
รับรองว่าคุณจะเป็นคนหนึ่งที่สามารถพิชิตความอ้วนได้อย่างแน่นอนค่ะ สู้ๆน่ะค่ะ


ที่มา :http://www.petsang.com/diet1/315-diet-7.html
ภาพจาก :http://www.womansday.com/Articles/Health/

เติมพลังงานสไตล์สาวไดเอท

เติมพลังงานสไตล์สาวไดเอท
สาวๆ ที่กำลังลดความอ้วนอยู่ คงต้องลำบากหน่อย
เวลาอยากจะเลือกทานอะไร เพื่อเพิ่มพลังงานในการทำกิจวัตรในทุกวัน
เพราะไม่แน่ใจว่าอาหารที่อยู่ตรงหน้า มีปริมาณแคลอรีมากเกินไปรึเปล่า
ทำให้เกิดอาการอ่อนระโหยรวยแรงได้ในระหว่างวัน

และด้วยความเป็นห่วงก็เลยขอนำเสนออาหาร 5 ชนิด ที่ทานได้ไม่อ้วน
แถมช่วยชาร์จพลังงานให้กลับคืนมาอีกด้วยค่ะ

คอร์นเฟลค หรือข้าวโอ๊ตอบแห้ง
จัดว่าเป็นอาหารที่ช่วยเพิ่มพลังงานในยามเช้าได้เป็นอย่างดี
ยิ่งถ้าทานกับนมไขมันต่ำ หรือโยเกิร์ต เติมผลไม้ลงไป
แค่นี้ก็ได้อาหารเช้าสุดเพอร์เฟค ที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหาร ที่ร่างกายต้องการนำไปใช้เป็นพลังงานแล้วล่ะค่ะ

แครอท
สำหรับช่วงบ่ายขอแนะนำเป็นน้ำแครอทปั่นสักแก้ว จะช่วยฟื้นฟูความมีชีวิตชีวา
ทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา แถมได้คุณค่าจากวิตามินเอ และซีในแครอทอีกด้วยค่ะ

กล้วย
ถือว่าเป็นผลไม้ที่ทรงพลัง นอกจากจะให้พลังงานแล้วยังอุดมไปด้วยเกลือแร่ และวิตามินเอ บี และซี
ซึ่งทำให้หน้าตาดูสดใส ไม่อิดโรย
ซึ่งถ้าทานกล้วย 1 ผล ก่อนออกกำลังก็จะช่วยให้แรงดีไม่มีตกนานกว่า 1 ชั่วโมง ทีเดียวค่ะ

น้ำเปล่า
แน่นอนว่าการดื่มน้ำสะอาดนั้นมีประโยชน์ต่อร่างกายเป็นอย่างมาก
ทั้งทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้น ดับกระหายคล้ายร้อน ช่วยเรื่องระบบขับถ่ายได้ดี และผิวพรรณก็ดูสดใสไม่แห้งกระด้าง
จึงควรดื่มน้ำให้เพียงพอ และดื่มได้บ่อยเท่าที่ต้องการ
อย่ารอให้หิวค่อยเติม ถ้าจิบได้ตลอดทั้งวันก็จะดีมากต่อร่างกายค่ะ

มันฝรั่ง
เน้นที่ทำมาจากวิธีอบ ต้ม บด เพราะจะได้พลังงานมากกว่าแคลอรี
และอุดมด้วยธาตุเหล็ก วิตามินเอ บี1 บี2 บี 6 และโพแทสเซียม และสามารถเพิ่มความอร่อยด้วยน้ำผึ้ง
หรือว่านมสดพร่องมันเนยด้วยก็ได้ ซึ่งเมื่อเทียบกับขนมคบเคี้ยวอื่นก็เลือกมันฝรั่งจะดีกว่านะคะ



ที่มา http://www.womanstoryonline.com/detail.php?page_id=752
ภาพจาก http://space.tv.cctv.com/article/ARTI1234493097461825

ลดน้ำหนักอย่างไรไม่โทรม


ลดน้ำหนักอย่างไรไม่โทรม
เชื่อว่าคู่รักส่วนใหญ่ต้องตั้งหน้าตั้งตาฟิตหุ่น ให้สมส่วนก่อนถึงวันวิวาห์
บางคนถึงกับลดมื้ออาหารจากปกติ 3 มื้อ เหลือเพียงการรับประทานเฉพาะมื้อกลางวันเท่านั้น

ซึ่งวิธีดังกล่าวถือว่าไม่เหมาะสมกับการลดหรือควบคุมน้ำหนัก เพราะไม่เป็นผลดีกับร่างกาย
เมื่อถึงวันแต่งงานพลันจะเป็นคู่บ่าว-สาวแสนโทรม ไม่สดชื่นแจ่มใส

การไม่ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นก่อนวันสำคัญ
คุณผู้อ่านสามารถลดอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต ที่มีอยู่ในอาหารประเภทข้าว เส้นก๋วยเตี๋ยว ขนมปัง น้ำตาล
เช่น จาก ปกติรับประทานข้าวมื้อละ 1 จานเต็ม ๆ อาจลดเหลือเพียงแค่ครึ่งจาน
หรืออาจเลือกรับประทานข้าวเพียง 1 มื้อต่อวัน

ส่วนมื้ออื่น ๆ ที่เหลือให้เน้นผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ไขมันต่ำ เช่น ปลานึ่ง
ทั้งนี้หากรับประทานข้าวแล้วก็ไม่ควรรับประทานก๋วยเตี๋ยว หรือขนมปังในวันเดียวกันอีก

สำหรับ ประโยชน์จากการลดคาร์โบไฮเดรต
จะช่วยให้ร่างกายที่ปกติจะเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต ที่รับประทานเข้าไปใหม่เป็น อันดับแรก
ก็จะหันไปเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตและไขมันที่สะสมอยู่ในร่างกายแทน

ส่วนอาหารชนิดอื่น ๆ ที่ควรหลีกเลี่ยงระหว่างควบคุมน้ำหนัก คือ
อาหารทอดน้ำมัน เนื้อสัตว์ติดมัน อาหารฟาสต์ฟู้ดต่าง ๆ
รวมทั้งชา กาแฟ ที่ใส่ครีมปริมาณมาก น้ำอัดลม ขนมขบเคี้ยว ขนมหวาน

นอกจากการใส่ใจเรื่องอาหารการกินแล้ว ยังต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
ถ้าจะให้เห็นผลควรจัดสรรเวลาออกกำลังกายก่อนวิวาห์อย่างน้อย 4-5 เดือน
เช่น การยกเวต เซ็ตละ 15 ครั้ง เพื่อกระชับต้นแขน หรือซิตอัพลดหน้าท้อง เป็นต้น



ที่มา http://www.dailynews.co.th
ภาพจาก http://www.womanspassions.com/articles/1829.html

ออกกำลังกายหลังอาหาร ช่วยอิ่มนาน - ลดอ้วนได้ผลดี


ออกกำลังกายหลังอาหาร ช่วยอิ่มนาน - ลดอ้วนได้ผลดี

นักวิทยาศาสตร์อังกฤษพบว่า การออกกำลังกายหลังอาหารถือเป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยลดน้ำหนักได้ดี
เพราะการออกกำลังกายหลังรับประทานอาหารเสร็จ จะไปช่วยกระตุ้นฮอร์โมนยับยั้งความอยากอาหาร
ทำให้ไม่ค่อยรู้สึกหิว หรืออยากกินอะไรเพิ่มเติม ในขณะที่ออกกำลังกาย

นักวิทยาศาสตร์ระบุว่า ไม่ว่าอาหารที่รับประทานในมื้อนั้น จะเป็นมื้อใหญ่ขนาดไหนก็ตาม
แต่ถ้าลองได้ออกกำลังกายตามมาหลังรับประทานอาหารแล้วไปสักพักหนึ่ง
ปริมาณแคลอรีก็จะถูกเผาผลาญไปกับการออกกำลังกาย เหลือแคลอรีติดอยู่ในร่างกายเพียงไม่มากนัก
จึงไม่ก่อให้เกิดโรคอ้วนตามมา

มหาวิทยาลัยเซอร์เรย์ร่วมกับวิทยาลัยอิมพีเรียล คอลเลจ ลอนดอน ได้ศึกษาเรื่องนี้
โดยให้อาสาสมัคร 12 คน มารับประทานอาหารเช้าในแบบเดียวกัน
อีก 1 ชั่วโมงถัดมา ก็ให้อาสาสมัครครึ่งหนึ่งในนี้ไปออกกำลังกายด้วยการปั่นจักรยานนาน 1 ชั่วโมง
ส่วนที่เหลือให้นั่งเฉยๆ

ผลปรากฏว่า กลุ่มที่ออกกำลังกายหลังรับประทานอาหาร จะมีปริมาณแคลอรีถูกเผาผลาญไปถึง 492 กิโลแคลอรี
ส่วนกลุ่มที่รับประทานแล้วนั่งเฉยๆ จะมีปริมาณแคลอรีถูกเผาผลาญไปเพียง 197 กิโลแคลอรี

นอกจากนี้ กลุ่มที่ออกกำลังกายหลังรับประทานอาหารยังพบว่า
มีปริมาณฮอร์โมนที่ยับยั้ง ความอยากอาหารเพิ่มขึ้นด้วย
ฮอร์โมนตัวนี้จะไปบอกสมองให้รับรู้ว่า ร่างกายอิ่มแล้ว

อาสาสมัครกลุ่มนี้ยอมรับด้วยว่า ระหว่างออกกำลังกาย พวกเขาไม่ค่อยรู้สึกอยากรับประทานอาหารเท่าใดนัก
และแม้หลังออกกำลังกายแล้ว ความรู้สึกอยากรับประทานอาหารจะกลับขึ้นมาอีก
แต่เมื่อเทียบกันแล้ว คนที่ออกกำลังกายหลังรับประทานอาหาร
จะมีปริมาณแคลอรีติดอยู่ในร่างกาย น้อยกว่าคนที่รับประทานอาหารแล้วนั่งอยู่ เฉยๆ


ที่มา http://www.vcharkarn.com/vblog/60292
ภาพจาก http://www.ehow.com/way_5476403_exercise-diet-programs.html

สูตรเด็ด!! เคล็ดลดน้ำหนัก


สูตรเด็ด!! เคล็ดลดน้ำหนัก
10 วิธีปฏิบัติเพื่อหุ่นสวยสุขภาพดี

สูตรที่ 1 พยายามตั้งใจทำสิ่งเหล่านี้ จนเคยชินค่ะ

1. เดินวันละ 1 หมื่นก้าว ทดลองนับก้าวแล้วประมาณเอาก็ได้ค่ะ
2. ต้องกินอาหารเช้าค่ะ อย่าปล่อยให้หิว จะตบะแตกตอนสาย
3. กินอาหารตามเวลา ถ้าเลยเวลาจะหิวจัด คว้าของหวาน - มันมากิน
4. เวลากินอาหารให้ตั้งใจว่าไม่ทำงานอื่น ไม่ทำกิจกรรมอื่น เพราะจะกินเพลิน มาก - น้อยไม่รู้ปริมาณค่ะ
5. อย่ากินจนพุงกาง พอรู้สึกว่าใกล้อิ่ม ให้ดื่มน้ำได้เลยจะอิ่มพอดี
6. เคี้ยวอาหารช้าๆ วางช้อน วางส้อมบ้าง คุยกับผู้ร่วมโต๊ะอาหารบ้าง
7. แม้เป็นอาหารที่ชอบ ก็อย่าตักมามากมาย ยั้งไว้หน่อย
8. ก่อนไปตลาด ต้องกินให้อิ่ม จะทำให้ซื้ออาหารไม่มาก
9. ถ้าจำเป็นต้องดื่มน้ำอัดลม ให้เลือกชนิดที่ใช้น้ำตาลเทียม
10. นำรายการอาหารที่จะซื้อ แล้วจ่ายตามนั้น จะไม่เกินขนาด
11. ควรแบ่งอาหารเป็น 5 มื้อย่อย ดีกว่า 3 มื้อที่มากมาย
12. มีอารมณ์ขันบ้าง ผู้มีความเครียดจะกินจุ
13. เหลืออาหารไว้ในจานบ้าง อย่ากินจนเกลี้ยงชาม
14. ใช้อุปกรณ์ ช้อนส้อม ในการกินอาหารแทนใช้มือเปล่า
15. อาหารมื้อเช้า กลางวัน ควรมากกว่ามื้อเย็น



สูตรที่ 2 วิธีปรุงอาหาร

1. ใช้วิธี ต้ม นึ่ง ย่าง เผา หรือเข้าไมโครเวฟ
หลีกเลี่ยงการทอดด้วยน้ำมัน น้ำมัน 1 ช้อนชา เท่ากับ 45 กิโลแคลอรี ค่ะ

2. อาหาร 1 จาน ควรมีผักครึ่งหนึ่ง ที่เหลือมีเนื้อสัตว์ และแป้ง หรือจะน้อยกว่านี้ก็ได้
3. กินผลไม้แทนน้ำผลไม้คั้น จะได้เส้นใยแทนที่จะได้น้ำตาลล้วนๆ
4. ปรุงอาหารด้วยเครื่องเทศ สมุนไพร แทนการใช้ซอสไขมัน
5. กินอาหารที่มีไขมันต่ำ หลีกเลี่ยงหนังไก่ หนังหมู หรือไขมันสัตว์
6. ใช้น้ำปรุงอาหาร แทนน้ำมัน ต้มแทนผัด, ทอด
7. ใช้น้ำตาลเทียมแทนน้ำตาลจริง ขณะนี้มีหลายชนิด บางชนิดใช้ปรุงอาหารร้อนบนเตาได้ ไม่เสียรสชาติแต่อย่างใด



สูตรที่ 3 ทำได้ให้อาหารน้อยดูเหมือนมาก

1. เลือกซื้ออาหาร ถ้วยเล็ก ขวดเล็ก แทนขนาดกลางหรือขนาดใหญ่
2. ถ้าดื่มแอลกอฮอล์ ขอเว้น 3 วันต่อเนื่องกันในแต่ละสัปดาห์
3. ใช้จานเล็กใส่อาหารแทนจานใหญ่ ใช้แก้วทรงผอมสูงแทนแก้วเตี้ย จะได้ลดปริมาณอาหารลงบ้าง
4. หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำจากแป้งขัดสี เช่น ขนมปังขาว ข้าวสารควรใช้ข้าวกล้องแทน
5. ตักอาหารใส่ในภาชนะที่ทราบขนาด อย่ารับประทานจากถุงหรือขวดที่ใส่ จะไม่เห็นขนาดที่ใช้ไป
6. ก่อนไปงานเลี้ยงกินอาหารแคลอรีต่ำรองท้องไปก่อน ป้องกันหิวอาหาร และจะอดใจไม่กินอาหารแคลอรีสูง
7. ใช้สีช่วยลดความอยากอาหาร ห้องสีฟ้าจะลดความอยากอาหาร ผ้าปูโต๊ะสีแดงชวนให้อยากอาหาร



สูตรที่ 4 วางแผนก่อนไปร่วมงานเลี้ยง

1. หลีกเลี่ยงอาหารบุฟเฟ่ต์ ซึ่งตักได้มากมาย ทำให้ต้องกินจุ
2. สั่งอาหารเฉพาะในขนาดที่ต้องการ เวลาหิวคุณจะสั่งอาหารมากค่ะ
3. ไม่จำเป็นต้องกินอาหารจนเกลี้ยงจาน เหลือไว้บ้างค่ะ
4. หลีกเลี่ยงขนมปังที่ใส่กระเทียม หรือขนมปังที่ปรุงด้วยสมุนไพร
5. สั่งซอสหรือน้ำสลัดแยกจากผัก น้ำสลัดมีน้ำมัน มีแคลอรีสูง
6. ถ้าจะกินอาหารอิตาเลียน ให้เลือกซอสมะเขือเทศแทนเนย
7. ของหวานให้เลือกผลไม้ เลือกเชอร์เบทแทนไอศกรีม
8. ดื่มน้ำก่อนกินอาหาร ก่อนจะอิ่มดื่มน้ำอีกครั้ง จะอิ่มพอดี



สูตรที่ 5 ความเชื่อที่ไม่เป็นจริง
มีสิ่งที่เล่าขานกันมาหลายเรื่องที่คิดว่าจะช่วยลดน้ำหนักได้ แต่ไม่เป็นความจริง
ลองดูความเชื่อที่ผิดๆ เหล่านี้กันค่ะ

1. การดื่มน้ำร้อนจะช่วยเพิ่มการเผาผลาญอาหารในร่างกาย
ข้อนี้ไม่จริง ความร้อนจะเกิดจากการเผาผลาญอาหารมากกว่า
เมื่อร่างกายใช้พลังงานมาก เช่น การออกกำลังกาย ทำให้อาหารถูกเผาผลาญออกไปมากกว่าการอยู่นิ่งๆ

2. ความเชื่อที่ติดอันดับเดียวกับน้ำร้อน คืออาหารบางชนิดจะทำให้ลดแคลอรี
ไม่มีนะคะอาหารที่ว่านี้

3. การลดน้ำหนักที่ได้ผลจะต้องอดอาหาร
ข้อนี้ก็ไม่จริง การเว้นอาหารจะทำให้น้ำตาลลดลง ทำให้หิวอาหาร และจะกินมากกว่าที่ควร

4. การออกกำลังท่านอนราบยกตัวขึ้น ทำให้หน้าท้องแบนราบ
ข้อนี้ก็ไม่จริง เห็นไหมคะว่าเราเข้าใจคลาดเคลื่อนมานานจริงๆ

5. งดอาหารแป้งหลังจาก 5 โมงเย็น
ไม่ได้ทำให้เกิดข้อแตกต่าง ถ้ากินอาหารไขมัน หรือเนื้อสัตว์ จะเกิดไขมันสะสมได้เช่นเดียวกัน

6. ถ้าออกกำลังขณะท้องว่าง จะทำให้เผาผลาญไขมันในเวลาอันรวดเร็ว
ไม่จริงค่ะ จะทำเวลาไหนก็ได้เท่ากัน เวลาท้องว่างอาจทำให้หิวจัด เป็นลมได้

7. การควบคุมอาหารจะช่วยให้ลดน้ำหนักได้ต่อเนื่อง
ไม่เป็นจริงจะต้องออกกำลังกายร่วมด้วย

8. การกินอาหารน้อยลง จะทำให้กระเพาะมีขนาดเล็กลง
ก็ไม่จริงค่ะ

9. มีช่วงเวลาที่จะลดไขมันได้ โดยออกกำลังกายเพียงเล็กน้อย
ไม่เป็นจริง ทุกเวลามีค่าเท่ากันค่ะ



สูตรที่ 6 อาหารที่มีคุณค่าที่ควรเลือกรับประทาน

1. หลักการคือใช้อาหารที่ไม่ปรุงแต่งมาก ใกล้เคียงธรรมชาติที่สุด
2. ผักสด ผลไม้สด ไม่ต้องเคลือบ ไม่ต้องตากแห้ง ไม่หมักดอง
3. ใช้เนื้อสัตว์ไม่ติดไขมัน ถั่วเป็นอาหารโปรตีนที่ไม่มีไขมัน ไก่ หมู ไม่ติดหนัง ปลาทุกชนิดให้โปรตีนที่ดีไขมันต่ำ
4. อาหารที่มีเส้นใย ข้าวไม่ขัดสีมากจะมีเส้นใยเหลืออยู่
5. ดื่มน้ำสะอาดวันละ 8 แก้ว คือ ประมาณ 2 ลิตร
6. อาหารที่ดูดซึมช้า ทำให้น้ำตาลเพิ่มช้า ได้แก่ ข้าวโอ๊ต ผัก มันเทศ
7. อาหารที่มีไขมันชนิดทรานส์น้อย ได้แก่ ข้าว ถั่ว พาสต้า จะมีไขมันอิ่มตัวน้อย
8. ถ้าจะดื่มนม ควรใช้ชนิดไขมันต่ำ
9. ดื่มชาล้วน ไม่ปรุงด้วยน้ำตาลหรือนม
10. รับประทานเครื่องเทศ พริก จะช่วยเผาผลาญอาหารได้รวดเร็ว



สูตรที่ 7 เตรียมพร้อมสู้กับความหิว
คุณต้องเตรียมตัวให้พร้อม มิฉะนั้นเวลาหิวคุณจะหยิบทุกอย่างที่ขวางหน้าค่ะ

1. หางานอื่นมาทำ หรือทำงานต่อเนื่องให้ลืมหิว ยากค่ะ แต่ต้องฝึก
2. เตรียมผักสดไว้เคี้ยวแทนขนมหวาน เช่น แครอทก็อร่อยค่ะ
3. ดื่มน้ำสะอาด ใช้น้ำลูบท้องไงคะ
4. ลองทนดูประมาณ 10 นาที ถ้าไม่ไหว รองท้องนิดเดียว
5. ลองกินถั่วที่ไม่คลุกเกลือค่ะ เช่น ถั่วต้ม ถั่วลิสงคั่ว ประมาณ 10 เม็ด เคี้ยวช้าๆ
6. ดื่มน้ำชาร้อนๆ หรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล ใช้สารน้ำตาลเทียมได้
7. แปรงฟัน เวลาฟันสะอาดเรามักจะไม่อยากเคี้ยวอาหาร
8. เคี้ยวหมากฝรั่งที่ไม่มีน้ำตาล
9. อาจจะรับประทานสิ่งที่มันน้อย เช่น มันต้ม แทนมันทอด เอาไว้เป็นทางเลือกสุดท้าย



สูตรที่ 8 มีบัญญัติ 10 ประการที่ไม่ควรฝ่าฝืน
ใช้ความคิดตรึกตรองดูว่าท่านจะละเว้นได้ไหม

1. การใช้ยาระบาย ไม่เป็นประโยชน์ในระยะยาว ระยะแรกอาจช่วยลดน้ำลงบ้าง หรือลดไขมันได้บางส่วน
แต่มีอันตรายจากการสูญเสียน้ำ และสารอาหารที่มีประโยชน์ เช่น วิตามิน

2. อย่าผัดวันประกันพรุ่ง ต้องเริ่มวันนี้ เดี๋ยวนี้
3. อย่าคิดว่าอาหารที่บอกว่าแคลอรีต่ำแล้วจะกินได้ไม่ยับยั้ง ต้องอ่านฉลากอาหารก่อนค่ะ
4. อย่าเว้นอาหารมื้อใดๆ เป็นอันขาด กินทุกมื้อ แต่มื้อละนิดหน่อยพอหายหิว
5. ถ้าเหนื่อย หรือง่วง หรือเครียด อย่าแก้ด้วยการกินอาหาร ต้องพักให้หายเครียด หรือนอนเมื่อง่วงนอน
6. ไม่ควรขจัดไขมันจนเกลี้ยงเกลา ร่างกายต้องการไขมัน เพื่อละลายวิตามิน เอ ดี อี เค
7. อย่าคิดว่าชีวิตนี้จะหมดหวังหากไม่ลดน้ำหนัก คนอ้วน คนท้วม ก็ประสบความสำเร็จได้
8. อย่าเดินไปวนเวียนใกล้ตู้เย็นตอนดึก
9. ไม่ต้องชั่งน้ำหนักทุกวัน ถ้าไม่ลดจะเสียกำลังใจ
10. ถ้าจะต้องกินอาหารหวานมันเป็นบางครั้ง ก็ทำได้



สูตรที่ 9 ให้กำลังใจตนเองด้วยวิธีต่างๆ
1. จดเป้าหมายไว้ให้เห็นชัดๆ
2. บันทึกรายการอาหารที่กินแต่ละวัน จะเห็นส่วนเกิน
3. ให้รางวัลตนเอง หากประสบความสำเร็จ ยกเว้นการกินอาหาร
4. หาเพื่อนที่ลดน้ำหนักพร้อมๆ กัน เป็นกำลังใจกันเอง
5. ถ้าลดน้ำหนักได้ถึงเกณฑ์ ให้รางวัลใหญ่แก่ตัวเอง เช่น พักร้อนไปเที่ยว

6. หาสถานที่ออกกำลังกาย และไปจ่ายค่าบริการทุก 2 สัปดาห์
แทนที่จะจ่ายนานๆ ครั้ง เป็นการกระตุ้นให้ไปใช้บริการ

7. ส่องกระจกดูรูปร่างตนเอง ว่าดูดีขึ้นหรือไม่

8. ซื้อเสื้อผ้าขนาดเล็กเท่าที่อยากจะใส่
ถ้าซื้อเสื้อขนาดใหญ่จะอ้วนตามตัว พยายามอย่าใส่แซค ใช้กระโปรงมีเอวจะดีกว่า



สูตรที่ 10 ออกกำลังกายได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ ไม่จำเป็นต้องรอไปสถานออกกำลังกาย
1. การเดิน ง่ายและไม่เปลืองค่าใช้จ่าย
2. ใช้บันไดแทนลิฟต์ ลงจากรถก่อนถึงสถานที่ทำงาน
3. เปลี่ยนวิธีออกกำลังกายมิให้เบื่อหน่าย
4. หาเพื่อนออกกำลังกายด้วย เหงื่อแก้เหงา
5. ฝึกการเกร็ง - หดยืดกล้ามเนื้อไปด้วย
6. ตั้งเป้าหมายชัดเจน เช่น ต้องการวิ่งการกุศล ตามระยะเวลาที่กำหนด
7. ฝึกลีลาศ หรือเล่นกีฬาเป็นทีม
8. ระหว่างดูโทรทัศน์ ช่วงโฆษณาท่านออกกำลังได้
9. ถ้าไม่มีความรู้ เรียนกับครูฝึกก่อน เพื่อให้ปฏิบัติได้ถูกต้อง และไม่มีอันตราย เช่น ฝึกกับนักกายภาพบำบัด

เวลาไปซื้อของ เสาะหาสิ่งที่ช่วยการคุมน้ำหนักไว้ด้วย
เช่น รองเท้าวิ่ง, เครื่องชั่งน้ำหนัก, สายวัดรอบเอว จะช่วยให้สนุกสนานยิ่งขึ้น


ที่มา: http://www.thaihealth.or.th/node/9766
ภาพจาก :http://www.womansday.com/Articles/Food/

ลดอ้วนเพื่อลูก 4 ปีฮวบ 73 กิโล


ลดอ้วนเพื่อลูก 4 ปีฮวบ 73 กิโล
นิวส์ ออฟเดอะเวิลด์รายงานเมื่อ 22 พ.ย. ว่า เอมี่ เมลอย สาวเจ้าเนื้อชาวอังกฤษ วัย 28 ปี
ผู้เคยมีน้ำหนักตัว 137 กิโลกรัม ตั้งหน้าตั้งตาลดความอ้วนเพื่อลูก ในช่วงที่ตั้งครรภ์
เพราะเกรงว่าการที่น้ำหนักเกินจะเกิดผลกระทบกับลูกในท้อง จึงเข้าคอร์สลดน้ำหนักในช่วงตั้งครรภ์
ทำให้ลดน้ำหนักได้มากถึง 64 กิโลกรัม เหลือ 73 กิโลกรัม ในระยะเวลา 4 ปี

เอมี่เริ่มลดน้ำหนัก ตั้งแต่ตั้งครรภ์ลูกคนแรก
โดยห้ามใจไม่กินช็อกโกแลต และเลิกกินอาหารปิ้งย่างที่เคยกินสัปดาห์ละ 3 ครั้ง เลิกกินพิซซ่ากับมันฝรั่งทอด
กระทั่งน้ำหนักลดไปได้ 13 กิโลกรัม ต่อมาเมื่อมีลูกคนที่ 2 เอมี่ก็ลดน้ำหนักได้อีก 13 กิโลกรัม
และจากนี้ตั้งเป้าจะลดให้เหลือ 70 กิโลกรัม

ด้านสามี ฟิลลิป ช่างเทคนิค วัย 33 ปี เห็นด้วยที่ภรรยาลดน้ำหนัก แต่หยอดคำหวานว่า
"ผมรักเธอไม่ว่าเธอจะมีรูปร่างอย่างไร
แต่ก็อดทึ่งไม่ได้และชวนให้ถ่ายรูปงานแต่งใหม่อีกครั้ง ซึ่งจะเป็นอัลบั้มรูป ที่ภูมิใจมาก"

หลังจากเอมี่ลดน้ำหนักสองสามีภรรยาจึงจองโรงแรมเดิม ที่เคยจัดงานวิวาห์เมื่อปี 2547
เชิญญาติและเพื่อนๆ มาอีกครั้ง เพราะเอมี่อยากถ่ายรูปงานแต่งใหม่ เพราะไม่พอใจรูปเก่าที่เป็นเจ้าสาวร่างอ้วนฉุ


ที่มา http://www.khaosod.co.th/

เคล็ดลับกระชับหุ่นสวย


เคล็ดลับกระชับหุ่นสวย
1.เริ่มจากการรับประทานอาหารที่มีแคลอรี่รวมต่อวัน ต่ำกว่าปริมาณพลังงานที่ใช้ไป ในแต่ละวัน
ซึ่งเป็นสมการง่าย ๆ ที่จะช่วยให้รูปร่างสมส่วนเข้าที่ได้อย่างรวดเร็ว นั่นคือ แคลอรี่รวมต่อวัน
ต้องน้อยกว่าที่ใช้ไปทั้งหมด เพื่อที่ร่างกายจะได้ใช้ไขมันสะสมส่วนเกินให้หมด
หรือแคลอรี่ที่ได้รับรวมต่อวัน ปริมาณพลังงานที่ใช้ไป = การขจัดปริมาณพลังงานสะสมส่วนเกิน

2. แบ่งอาหารประจำวันออกเป็นมื้อย่อย ๆ สัก 3-5 มื้อเล็ก ๆ ต่อวัน
โดยสัดส่วนของอาหารมื้อกลางวัน และมื้อเย็นควรมีปริมาณผัก และผลไม้ ซีเรียล
และผลิตภัณฑ์จากธัญพืชอื่น ๆ ประมาณ 3 ใน 4 ส่วนของอาหารทั้งหมด

3. เลือกรับประทานอาหารที่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายเท่าที่จำเป็นเท่านั้น
และพยายามเลือกรับประทานอาหารให้หลากหลายชนิด
เช่น ธัญพืชต่าง ๆ เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน เนื้อปลา รวมถึงผักและผลไม้สด

4. หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่ผ่านการปรุงด้วยการใช้น้ำมันในปริมาณมาก ๆ
เช่น การทอด หรือการผัด แต่ควรเน้นไปที่อาหารต้ม นึ่ง หรือย่างมากกว่า

5. พยายามขจัดไขมันส่วนเกินที่มองเห็นในอาหารออกให้หมด ก่อนลงมือ รับประทาน
เช่น การลอกหนังสัตว์ออก หรือซับน้ำมันส่วนเกินออกก่อน
รวมทั้งต้องไม่เพิ่มปริมาณไขมันเข้าไปในอาหารอีก เช่น การทาเนย หรือเติมนมข้นหวาน เป็นต้น

6. รับประทานอาหารช้า ๆ ใช้เวลาต่อคำในการเคี้ยวให้มากขึ้น
และใส่ใจกับปริมาณอาหารที่รับประทานตรงหน้าให้
ก็จะเป็นอีกเทคนิคหนึ่งที่ช่วยให้สามารถอิ่มได้เร็วขึ้น และจะไม่บริโภคอาหารเกินความต้องการของร่างกาย

7. ไม่ต้องตัดของโปรดออกจากเมนูอาหารทั้งหมดก็ได้
แต่ขอให้เลือกรับประทานอาหารเหล่านี้ ในปริมาณที่น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ไม่ว่าจะเป็นพิซซ่า ลูกอม หรือคุกกี้ ฯลฯ

8. เตรียมของว่างที่มีประโยชน์ไว้ให้พร้อมหยิบรับประทานเสมอ
เช่น แครอทสดฝานบาง ๆ แช่เย็น หรือแอปเปิ้ลกรอบ เป็นต้น
แต่เก็บของว่างเพิ่มแคลอรี่ให้พ้นหูพ้นตา และพ้นมือให้หมด

9. ดื่มน้ำสะอาดให้มาก ๆ โดยเฉพาะการดื่มน้ำก่อนการรับประทานอาหาร

10. จำกัดปริมาณเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน รวมทั้งปริมาณของเกลือและน้ำตาลด้วย

11. รับประทานอาหารเมื่อรู้สึกหิวจริง ๆ เท่านั้น
เลือกที่จะฟังสัญญาณจากร่างกาย มากกว่าสัญญาณทางอารมณ์ และจิตใจ

12. เพิ่มการออกกำลังกายให้มากขึ้น และสม่ำเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละไม่ต่ำกว่า 30 นาที
ทั้งนี้ อาจเสริมเพิ่มกิจกรรมพิเศษ ๆ เข้าไป เพื่อให้ร่างกายได้ใช้พลังงานส่วนเกินอย่างเต็มที่ เช่น
การจอดรถไว้ในที่ที่ไกลกว่าเดิมสักนิด
เพื่อที่จะได้เดินออกกำลังกายพร้อมกับการเผาผลาญพลังงานส่วนเกินไปด้วย
หรือยืดเส้นยืดสาย ออกกำลังกายในขณะที่กำลังนั่งดูรายการทางทีวีด้วยก็ได้

ถ้าอยากมีหุ่นสวย ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้.

ที่มา เดลินิวส์

เอวคอด หน้าท้องราบ ด้วยท่าบริหารเฉพาะส่วน

เอวคอด หน้าท้องราบ ด้วยท่าบริหารเฉพาะส่วน
สำหรับสาวๆ ที่เลือกวิธีการลดน้ำหนักด้วยการเต้นแอโรบิค เบรกแดนซ์ เต้นสเต็ปตามลานเต้น
หรือฟิตเนสต่างๆ แล้วรู้สึกว่าเต้นเท่าไหร่น้ำหนักก็ไม่ค่อยจะลดลงเลย
ในงานจัดที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ได้ครูสอนเต้นมาแนะนำวิธีการเต้นลดน้ำหนักให้ได้ผล

นางสาวจตุพร ตั้งก่อศิลปพงษ์ ครูสอนเต้นจากฟิตเนสเฟิร์ส บอกว่า
การเต้นให้ได้ผล ผู้เต้นต้องเต้นให้เต็มที่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่เต้นยึกยักพอเป็นพิธี อย่างนี้น้ำหนักไม่ลดแน่นอน
สำหรับใครที่เพิ่งหัดเต้นใหม่ๆ อย่าเพิ่งท้อ ไม่มีใครเต้นได้ เต้นสวยตั้งแต่ครั้งแรก
ให้พยายามเต้นต่อไปจนแม่นท่าพื้นฐาน แล้วจากนั้นความหนักของท่าและความสวยงามในการเต้นจะตามมาเอง

"ถ้าอยากลดน้ำหนักให้ได้ผลทุกอย่างอยู่ที่การฝึกฝน และระยะเวลา
ตลอดจนการควบคุมตัวเองเรื่องอาหารการกินด้วย เพราะถึงจะเต้นมากแค่ไหน
แต่ก็กลับไปกินไม่ยั้งเหมือนเดิม น้ำหนักไม่มีวันลด"
พิเศษสำหรับสาวๆ ที่มีไขมันส่วนเกินเฉพาะส่วน ครูสอนเต้นคนเก่ง
แนะเคล็ดลับการออกกำลังเฉพาะให้สาวๆ ไปทำได้เองง่ายๆ ที่บ้าน เริ่มที่ "ต้นแขน" บริหารด้วยท่า "Punch"
หรือ ท่าต่อย โดยจะต่อยแขนออกไปข้างหน้า ขึ้นข้างบนหรือลงข้างล่างก็ได้
ระหว่างที่ต่อยแขนออกไปให้เกร็งแขนด้วย อย่างต่อยโดยไม่ออกแรง ทำอย่างนี้เรื่อยๆ แขนจะเฟิร์ม

"ต้นขา" บริหารด้วยท่า "Knee Up" หรือท่ายกเข่าด้านหน้า 90 องศา เทคนิคลดให้ได้ผล
ระหว่างยกให้ออกแรงเกร็งต้นขาและเกร็งหน้าท้องด้วย ท่านี้นอกจากต้นขาจะเฟิร์มแล้ว ยังช่วยลดหน้าท้องด้วย

"หน้าท้อง" บริหารด้วยท่า "Sit Up" ให้นอนราบกับพื้น
ชันเข่า 90 องศา ยกศีรษะและหัวไหล่ขึ้น งอตัวเล็กน้อยแล้วจนรู้สึกว่าหน้าท้องเกร็ง ให้ค้างสักพักจึงผ่อนออก
ซึ่งระหว่างที่ผ่อนยังคงต้องเกร็งหน้าท้องอยู่ การซิตอัพไม่จำเป็นต้องยกตัวขึ้นสูง
และอย่าพยายามยกด้วยการเหวี่ยงตัวขึ้น เพราะการเหวี่ยงจะทำให้หน้าท้องไม่ได้ออกแรง
ทำเซ็ตละ 15-20 ครั้งต่อเซ็ต

บริหารบั้นเอวด้านหลัง ด้วยท่า "Back Extension" หรือ ท่ายืดหลัง
โดยการนอนคว่ำราบกับพื้น เอามือเตะขมับ ยกลำตัวขึ้นเล็กน้อย แต่ถ้าไม่ถนัดท่านี้
อีกท่าที่ทำได้คือ ให้นอนคว่ำราบกับพื้นเหมือนเดิม เหยียดขาตรง
แล้วยกขาข้างใดข้างหนึ่งขึ้นประมาณ 30 องศา (อย่าเกิน 45 องศา อาจทำให้ปวดหลัง)
ยกขึ้นลงเซ็ตละ 15-20 ครั้ง แล้วค่อยเปลี่ยนขาแล้วบริหารแบบเดิม

"เอว" บริหารท่า "Side Plank" ให้นอนตะแคง วางข้อศอกไว้ที่พื้น เหยียดตัวตรง
แล้วยกสะโพกขึ้นลงเซ็ตละประมาณ 15-20 ครั้ง โดยทำทั้ง 2 ข้าง
ท่านี้นอกจากเอวจะคอดแล้วยังช่วยให้หน้าท้องแบนราบด้วย

ปิดท้าย "สะโพก" บริหารท่า "Side Kick" โดยยืนตัวตรง เท้าชิด แล้วยกขาไปด้านข้างประมาณ 30 องศา
เทคนิคท่านี้ อย่าแค่ยกขาเหวี่ยงไปมา ระหว่างที่ยกให้เกร็งหน้าท้อง สะโพก และขาด้วย
จะทำให้ได้ประโยชน์ทั้งหน้าท้องและสะโพก โดยทำเซ็ตละ 15-20 ครั้ง โดยทำทั้ง 2 ข้าง

การลดน้ำหนักให้ได้ผลต้องทำอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง


ข้อมูลจาก : มติชน
ที่มา :http://women.thaiza.com/detail_54273.html

วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

"ผู้ชาย" ชอบ "ผู้หญิง" ผมยาวเป็นลอนที่สุด

"ผู้ชาย" ชอบ "ผู้หญิง" ผมยาวเป็นลอนที่สุด

สาวๆ ที่ชอบเปลี่ยนทรงผมตามแฟชั่นเป็นประจำ ทั้งยืด-ดัด-ทำสี-ซอยสั้น-ต่อให้ยาว อาจต้องเปลี่ยนใจ
หยุดตามกระแส เมื่อทราบข้อมูลผลสำรวจจากหนุ่มๆ ที่มีความเห็นต่อ "ทรงผม" ของผู้หญิงครั้งนี้

เพราะผู้ชายร้อยละ 43 จากทั้งหมด 3,000 คน ประสานเป็นเสียงเดียวกันว่า "ผู้หญิงผมยาวหยักศกเซ็กซี่ที่สุด" !!!

"เว็บไซต์เดลี เมล์" เปิดเผยผลการสำรวจว่า ผู้ชายคิดว่า
ผู้หญิงผมยาวเป็นลอนๆ อย่างผมของ "เชอร์รีล โคล" นักร้องสาวสัญชาติอังกฤษ เป็นทรงผมที่เซ็กซี่ที่สุด
ขณะที่ "ผมตรงยาวสลวย" แบบสาวเจนนิเฟอร์ อนิสตันนั้น หนุ่มๆ ชอบรองลงมาเป็นอันดับ 2
ส่วนอันดับ 3 คือ "ทรงบ็อบสั้น" อย่างนักร้องสาว "ริฮานน่า"

อยากรู้ต่อไปแล้วละสิว่า อันดับ 4 และ 5 คือทรงแบบไหน "สิงห์สีชมพู" ก็จะเฉลยว่า
ทรงผมที่ครองอันดับ 4 คือ "ผมตรงยาวเคลียไหล่" แบบสาวกวินเน็ธ พัลโธรว์
ส่วนอันดับ 5 รั้งท้าย ได้แก่ "ผมซอยสั้นแบบสปอร์ตๆ" อย่างของเจ๊วิคตอเรีย เบคแฮม นั่นเอง

"คาเรน มัวร์" ผู้เชี่ยวชาญด้านทรงผม ให้เหตุผลที่นำมาสู่ผลการสำรวจว่า ผม เป็นสิ่งที่แสดงตัวตนของผู้หญิง
ผมยาวส่อให้เห็นถึงความเป็นผู้หญิงได้มากที่สุด ซึ่งเป็นผลให้ผู้ชายเกือบครึ่งชอบผู้หญิงผมยาว
นอกจากนี้ ผู้ชายยังชอบความเป็นธรรมชาติ เราพบว่า
ผู้ชายมากกว่า 1 ใน 3 ไม่ชอบผู้หญิงที่เซ็ตผมแบบเนี๊ยบสุดๆ เอาเสียเลย
และเขาก็ชอบผมที่ปล่อยยาวตามธรรมชาติมากกว่าผมที่ถูกมัดไว้อีกด้วย










"ผู้ชาย" ชอบ "ผู้หญิง" ผมยาวเป็นลอนที่สุด

แนะนำวิธีการ เลือกซื้อบรา สำหรับสาววัยแรกรุ่น


แนะนำวิธีการ เลือกซื้อบรา สำหรับสาววัยแรกรุ่น
เมื่อ สาวๆ เริ่มเข้าวัยแรกรุ่น เครื่องแต่งกายที่เพิ่มขึ้นมาก็คือบราหรือยกทรงนั่นเอง
ซึ่งแต่ละช่วงอายุ ลักษณะของบราที่คุณใส่ก็แตกต่างกันไป รวมถึงวิวัฒนาการของบราที่มีในแต่ละยุค
แต่ละคนก็มีขนาดและรูปทรงของทรวงอกที่แตกต่างกันไปอีก

เราคงพอจะรู้กันอยู่ว่า ถ้าดันทุรังใส่บราไม่ดีละก็ อกงามๆ ของคุณมีหวังห้อยหรือรูปทรงไม่งามแน่
เราลองมาดูเกร็ดการเลือกซื้อบรากัน :

เนื้อผ้า
หลีกเลี่ยงผ้าที่ไม่ยืดหยุ่น อย่างผ้าทอ ซึ่งยากที่จะกระชับพอดีสัดส่วน
ยิ่งกว่านั้น เผลอๆ มันจะหดตัวเมื่อคุณซักซะอีก

ผ้ายืดจะกระชับและช่วยดันทรง ลองผ้าที่มีส่วนผสมของ Lycra ซึ่งจะดีกว่าผ้านิตทั่วๆ ไป
เพราะผ้าแบบหลังนี้เมื่อใช้ไปสักพักก็จะเริ่มยืด และไม่กระชับทรงอย่างที่ควรจะเป็น

ลูกไม้
เช่นกัน ระวังลูกไม้ที่ไม่สามารถยืดหยุ่นได้ มันจะระคายเคืองกับผิวอ่อนๆ ของคุณ
เดี๋ยวนี้มีผ้าลูกไม้ผสม Lycra ที่มีส่วนผสมของผ้าฝ้าย ซึ่งนุ่ม, ทนทาน, เย็นสบาย และให้ผิวของคุณหายใจได้

ความเรียบ
ถ้าคุณสวมเสื้อผ้าแบบฟิตแนบลำตัวแบบที่สาวๆ สมัยนี้นิยมล่ะก็ พยายามหลีกเลี่ยงบราที่สายมีชายครุย และโบว์
หรือพวกที่ปักเดินเส้นเล่นลวดลายมากๆ เพราะมันจะปรากฏร่องรอยลวดลายนั้นผ่านเสื้อผ้าของคุณ
พยายามใส่บราแบบไร้ตะเข็บ หรือที่มีลวดลายเล็กๆ หน่อย

บราแบบมีโครง
ซื้อแต่บรามีโครงที่พอดีกับตัวคุณเท่านั้น เพราะโครงที่ไม่พอดีจะทำให้เกิดปัญหาสุขภาพ
โครงควรจะแบนราบไปกับลำตัวใต้ทรวงอก ไม่สูงล้ำขี้นไปถึงอกจริงๆ ของคุณ
และไม่ควรมีช่องว่างระหว่างบรากับลำตัว บราแบบมีโครงนี้ควรทำจากโครงที่นิ่มแต่แข็งแรง
บราแบบนี้จะประคองเต้าที่ใหญ่ได้มากกว่า และช่วยเสริมรูปทรงหน้าอกเล็กให้ชัดเจนขึ้น

บราแบบไม่มีโครง
แน่นอนว่ามันใส่สบายกว่าแบบมีโครง
แล้วมันก็กระชับหน้าอกใหญ่ๆ ได้เช่นกัน ถ้ามันทำจากผ้าเนื้อแน่นหรือแบบปานกลาง

สายคาด
ต้องปรับความยาวได้ และยืดหยุ่นได้ดี เพราะถ้าไม่ใช่ มันจะบาดไหล่คุณเอาได้
หรือถ้าเกิดมันหย่อนยาวเกินไป การประคองเต้าทรงก็ไม่เพียงพอ

ตะขอเกี่ยว
แม้บราแบบมีตะขอเดี่ยวมันจะดูดี แต่ไม่เหมาะกับคนที่มีหน้าอกใหญ่ ควรเลือกใช้แบบที่มีตะขอสองถึงสามอัน
จะสวมใส่สบายและช่วยประคองเต้าทรงได้มากกว่า สำหรับการใส่ประจำแต่ละวัน

ระดับตะขอก็ควรมีให้เลือกตำแหน่งได้ โดยเลือกให้แน่นเข้าหรือหลวมออก
เพราะถ้าน้ำหนักคุณเปลี่ยนแปลง รูปร่างคุณก็จะเปลี่ยนด้วย
รวมถึงเมื่อซักไปหลายๆ ครั้ง ขนาดของบราก็อาจเปลี่ยนไป
โดยบราที่ทำจากผ้ายืดผสม Lycra จะยืดตัวออกเมื่อใช้ไปนานๆ ส่วนผ้าทอผ้าฝ้าย จะหดตัวลง

คนส่วนมากมักจะสวมใส่บราที่ขนาดรอบตัวใหญ่เกินไป แต่มีขนาดเต้าทรงที่เล็กเกินไป
ซึ่งจะเห็นได้จากการที่สายด้านหลังรั้งสูงขึ้นมา แทนที่จะอยู่ระดับแนวนอนเดียวกับด้านหน้า
นี่คือปัญหาที่ใหญ่ที่สุดสำหรับผู้หญิงในการดูแลรักษารูปร่างของตน

ถ้าคุณสวมบราที่ใหญ่เกินไป มันจะทำลายรูปทรงหน้าอกของคุณ
แต่ถ้าเล็กเกินไป อย่างร้ายแรงคือมันจะทำให้คุณมีโอกาสเป็นเนื้องอก
ดังนั้นอย่าซื้อบราโดยไม่ได้ลอง หรือให้คนอื่นซื้อให้ เพราะไม่มีใครรู้จักรูปร่างคุณดีเท่าตัวคุณเอง


สิ่งที่ต้องตรวจสอบ เมื่ออยู่ในห้องลองเสื้อ

คุณชอบหน้าตาของมันหรือเปล่า?
มันช่วยส่งเสริมรูปทรงของคุณหรือเปล่า? (ลองสวมเสื้อชั้นนอกทับดูด้วย)
สวมใส่สบายหรือไม่? มีบริเวณไหนรัดตัวคุณบ้าง?
มันช่วยประคองทรงคุณได้เพียงพอไหม? (ลองกระโดดขึ้นลงดู!)
มันทนทานหรือเปล่า?
จะวัดขนาดตัวคุณเองได้อย่างไร?

ลองวัดรอบตัวคุณใต้ทรวงอก (หน่วยเป็นนิ้ว) แล้วบวกเพิ่ม 4-5 นิ้วให้ได้เลขคู่ นี่คือขนาดบราของคุณ
โดยตัวเลขจะอยู่ที่ประมาณ 32, 34, 36 ฯลฯ แล้ววัดรอบกลางยอดอกคุณโดยไม่ต้องสวมเสื้อชั้นใน
เอาตัวเลขแรกมาลบออกจากตัวเลขหลังนี้ ผลลัพธ์จะหมายถึงขนาดคัพของคุณ ที่มีตั้งแต่ AA, A, B, C, D, DD ฯลฯ

ตัวอย่างเช่น ถ้ารอบใต้อกคุณวัดได้ 29-30 นิ้ว ขนาดบราคุณคือ 34 นิ้ว ขนาดที่สองคุณเป็น 35 นิ้ว
เมื่อลบกันแล้วผลลัพธ์ได้ 1 นิ้ว ก็คือคัพ B

โดยผลลัพธ์น้อยกว่า 1 = AA, ผลลัพธ์เป็นศูนย์ = A, 1 = B, 2 = C, 3 = D, 4 = DD


ที่มา http://board.narak.com/fashion_and_beauty/topic.php?No=15468
ภาพจาก http://teens.lovetoknow.com/Teens_Bra

สาวออฟฟิศกับกระโปรงคู่ใจ ใส่ยังไงให้สวย


สาวออฟฟิศกับกระโปรงคู่ใจ ใส่ยังไงให้สวย
หากจะนึกถึงสัญลักษณ์ของผู้หญิง หนึ่งในนั้นคงต้องนึกถึง กระโปรงใช่ไหมคะ
เพราะกระโปรงกับผู้หญิงเป็นของคู่กันมานานแสนนาน สำหรับสาวออฟฟิศทั้งหลาย
ก็คงใช้บริการกระโปรงกันบ่อยหน่อย นอกเสียจากว่าวันไหนต้องการความทะมัดทะแมง
ก็อาจต้องพึ่งพากางเกงกับเสื้อเชิ้ตหรือสูทเก๋ๆ สักตัว แต่ว่าไปแล้ว จะใส่กระโปรงให้เก๋หรือทะมัดทะแมงก็ทำได้
เหมือนกันค่ะ อย่างแรกเลยคือ ต้องเลือกกระโปรงที่เหมาะกับตัวเองให้ได้เสียก่อน
ก่อนจะไปจับเสื้อหรือเครื่องประดับอื่นๆ มาแมทช์ในขั้นต่อไป

สารพัดกระโปรงที่ควรมีไว้ในตู้เสื้อผ้า...

กระโปรงทรงเอ
เป็นกระโปรงทรงฮิตของผู้หญิงทั่วไป เพราะสามารถทำคุณประโยชน์ให้ผู้หญิงได้หลายอย่าง
นอกเหนือไปจากความสบาย คล่องแคล่วเวลาสวมใส่ ใครที่สะโพกใหญ่ ขาใหญ่ หรือเนื้อบั้นท้ายปลิ้น
รับรองว่าพึ่งกระโปรงทรงนี้ได้ทุกสถานการณ์
แต่กระโปรงทรงเอที่สวย ควรจะทำมาจากเนื้อผ้าที่มีน้ำหนักและไม่แข็งทื่อจนหมดงาม


กระโปรงทรงสอบ
เรียกว่าเป็นกระโปรงเฟมินีน สมัยก่อนก็ว่าได้ ทรงจะแนบตัวเผยให้เห็นส่วนโค้งของสะโพกมาจนถึงหัวเข่า
สาวรูปร่างตรงไม่ควรมองข้ามกระโปรงทรงนี้ เพราะมันจะทำให้ทรวดทรงองค์เอวดูดีขึ้นถนัดตา
กระโปรงทรงสอบดีไซน์สวย ควรเลือกเนื้อผ้าที่แข็งนิดหนึ่ง จะได้ไม่ย่นแนบลำตัว


กระโปรงสั้น
หากใครอยากเปรี้ยวจี๊ดต้องนึกถึงกระโปรงสั้น เดี๋ยวนี้กระโปรงสั้นมาแรงอีกครั้ง หลังจากหายเงียบไปนาน
แต่มาอีกทีก็สั้นกุดแทบปิดแก้มก้นไม่มิดเสียแล้ว กระโปรงสั้นคือกระโปรงที่มีความยาวเหนือเข่าเท่านั้น
เป็นทรงกระโปรงที่ช่วยให้ช่วงขาดูยาวขึ้น แต่ผู้สวมใส่ต้องมั่นใจในเรียวขาตัวเองพอสมควร


กระโปรงยาว
ความยาวของกระโปรงทรงนี้เลยเข่ามาเรื่อยจนกระทั่งกรอมเท้า สาวตัวเล็ก ขาสั้น ควรระมัดระวังในการสวมใส่
หากจะใส่ให้สั้นหน่อยก็ควรให้อยู่ระดับเข่า หรือพิสมัยแบบยาวก็ควรให้ถึงข้อเท้าไปเลย
หากอยู่ครึ่งๆ กลางๆ ตรงน่องจะทำให้ดูทู่เข้าไปใหญ่
ส่วนสาวสูงยาวไม่มีปัญหาเลย ยิ่งใส่ยาวกรอมเท้า ผ่าข้างสูงๆ แล้วด้วย ยิ่งดูสวยสง่าเข้าไปใหญ่


กระโปรงพลีท
หรือเรียกกันว่ากระโปรงจีบรอบตัว กระโปรงทรงนี้น่ารักน่าหยิก ทำให้พานนึกไปถึงเจ้าหญิงน้อยๆ เรื่อยเลย
แต่กระโปรงทรงนี้ พวกผอมๆ ตรงๆ ทรงกระบอกใส่แล้วถึงจะเกิด
หากเป็นคนมีเนื้ออั๋น สะโพกผาย ใส่กระโปรงทรงนี้คงหนีไม่พ้นสภาพสาวนักเต้นระบำฮาวาย


กระโปรงป้าย
เป็นกระโปรงที่มีดีไซน์อีกประเภท แต่ค่อนข้างแปลกใจที่ไม่ค่อยเห็นคนใส่นัก สาวมีสะโพกใส่แล้วก็ดูดี
เพราะทรงจะคล้ายๆ กับกระโปรงทรงเอนั่นแหละ ระวังแค่รูปแบบการป้าย ให้เดิน ยืน ลุก นั่ง แล้วไม่โป๊ก็เป็นพอ


ที่มา eduzones

เสริมบุคลิกภาพ ด้วยสีสันของเสื้อผ้า


เสริมบุคลิกภาพ ด้วยสีสันของเสื้อผ้า
การวางตัวในสังคมเป็นเรื่องสำคัญ และทุกอริยาบถของคุณจะเป็นตัวบ่งบอกถึงบุคลิกภาพว่าดีหรือไม่
ไม่เพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้นที่จะช่วยให้บุคลิกคุณดูดีขึ้น
แต่สีสันก็เป็นตัวช่วยส่งเสริมบุคลิกภาพคุณให้ดูดี โดดเด่นไม่แพ้กัน รวมไปถึงการการแสดงออกทางด้านอารมณ์
และจิตใจ ดังนั้น การเลือกสีที่เหมาะสมให้กับเสื้อผ้าที่จะสวมใส่
จะช่วยขับเน้นบุคลิกภายในของแต่ละบุคคลให้เด่นชัดออกมาได้เป็นอย่างดี
สีแดงเพื่อความเชื่อมั่น
สีแดงเต็มไปด้วยพลังงานและการเคลื่อนไหว เป็นสีที่ช่วยดึงเอาบุคลิกความเชื่อมั่นในตัวเอง ความกระตือรือร้น
และความทะเยอทะยานออกมา เสื้อผ้าสีแดงบ่งบอกถึงบุคลิกในการรู้จักความต้องการของตัวเองอย่างชัดเจน
และปรารถนาความสำเร็จในชีวิต คุณสมบัติของสีแดงในเสื้อผ้า
จะช่วยดึงเอาความแข็งแกร่งกับความเชื่อมั่นในตนของคุณออกมาให้ปรากฏเด่นชัด

สีส้มสำหรับพลังความไม่หยุดนิ่ง

สีส้ม คือสีที่แสดงพลังอย่างเต็มที่และไม่หยุดนิ่ง การสวมใส่สีส้มจะช่วยให้ขับเน้นความสามารถในการจัดการความ
ไม่เป็นระเบียบต่างๆ ให้เข้ารูปเข้ารอยโดยง่าย เป็นสีที่จะช่วยรวบรวมสมาธิ
และความมีจุดมุ่งหมายในการกระทำต่างๆให้โดดเด่นขึ้นมา แสดงออกถึงความมุ่งมั่นภายในตัวตนของคุณ


สีเหลืองสำหรับความอบอุ่น
ที่จริงสีเหลืองเป็นสีที่บ่งบอกในเรื่องของการติดต่อสื่อสาร การเลือกสวมใส่สีเหลือง จะช่วยให้ผู้สวมใส่เต็มไปด้วย
ความสดใส และเต็มไปด้วยความอบอุ่นสำหรับผู้อื่น สีเหลืองจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้เกิดขึ้นได้
เปิดเผยคุณสมบัติการเป็นผู้รับฟังที่ดีสำหรับผู้อื่น นอกจากนั้น สีเหลืองยังเต็มไปด้วยบุคลิกของความสุข
ไม่เพียงเท่านั้นสีเหลืองยังส่งเสริมในเรื่องของการขายอีกด้วย


สีเขียวช่วยจัดสร้างความสงบ
การสวมใส่สีเขียงจะช่วยสร้างความสมดุลและความสงบ นอกจากนั้น ยังช่วยดึงบุคลิกของความนิ่งความมั่นคงออก
มาให้เด่นชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องของสุขภาพและความสมดุลด้านจิตใจนั่นเองสีเขียวเป็นสีของธรรมชาติ
ที่ช่วยขับเน้นเอาความแข็งแกร่ง และสมดุลในตัวคุณให้ปรากฏ สร้างความสงบสบายใจให้กับผู้อื่น


สีฟ้าเสริมส่งจินตนาการ
สีฟ้าของเสื้อผ้าจะขับความเยาว์วัยในตัวคุณให้โดดเด่นออกมา ไม่เพียงเท่านั้นสีฟ้ายังช่วยสร้างจินตนาการ
และความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆให้เกิดขึ้นได้ดี
สีฟ้าที่คุณสวมใส่จะช่วยสร้างความสงบในความคิดที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของการตัดสินใจได้อย่างไม่น่าเชื่อ
นอกจากนั้น ยังช่วยรักษาความมั่นคงในอารมณ์ เปิดเผยความซื่อสัตย์ และความน่าเชื่อถือในตัวคุณ



สีน้ำเงินดึงความคิดสร้างสรรค์
เสื้อผ้าสีน้ำเงิน บ่งบอกด้านศิลปะในตัวบุคคลได้ดีที่สุดในบรรดาสีต่างๆ เต็มไปด้วยอารมณ์ และความคิดสร้างสรรค์
เป็นอย่างยิ่ง เปิดเผยความกระตือรือร้น และความทะเยอทะยานอย่างแรงกล้าในตัวคุณให้ชัดเจน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความชัดเจนในเรื่องของการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ
นอกจากนั้นยังช่วยเปิดเผยความมีวิสัยทัศน์ในตัวผู้สวมใส่สีน้ำเงินด้วยนั่นเอง


สีม่วงเพื่อแสดงความสง่างาม
การสวมใส่สีม่วงขับเน้นความลึกลับ กับความช่างระแวดระวังให้ปรากฏ ไม่เพียงเท่านั้นสีม่วงยังช่วยนำเสนอพลัง
ในการรักษาสมดุลในจิตใจ รวมทั้งยังช่วยเสริมสร้างความมีเสน่ห์
และความสง่างามในบุคลิกภาพของแต่ละคนให้โดดเด่นออกมาอีกด้วย


สีชมพูเพิ่มความเป็นมิตร
ช่วยเสริมสร้างพื้นฐานของความใจดี มีน้ำใจ อ่อนหวานและช่างพิจารณาให้ปรากฏ เสื้อผ้าสีชมพูจะช่วยเสริม
คุณสมบัติของความอบอุ่น และความโอบอ้อมอารี มีน้ำใจต่อผู้อื่นให้เห็นเด่นชัดขึ้น นอกจากนั้น
ยังแสดงออกถึงการโน้มน้าวจิตใจผู้อื่นได้ดี
การสวมใส่สีชมพูจะช่วยขับเน้นความเป็นมิตร ทั้งยังแสดงออกได้ถึงความเป็นผู้นำอยู่ในตัวเองอีกด้วย

เลือกสีดำเน้นความหนักแน่น
การสวมใส่สีดำแสดงถึงความหนักแน่นและเข้มแข็ง ช่วยเสริมความมาดมั่นในตัวคุณ ทำให้คุณดูมีเสน่ห์น่าค้นหา
สีดำยังช่วยให้ดึงพลังในตัวผู้สวมใส่ให้ถูกขับเน้นออกมาได้ดีอีกด้วย

เลือกสีขาวบอกรสนิยม
แน่นอนว่าสีขาวจะแสดงออกถึงความบริสุทธิ์ไร้เดียงสา สีขาวของเสื้อผ้าแสดงออกถึงความสง่างามและมีเกียรติ
โดยจะช่วยสื่อถึงความมั่นใจในตัวคุณ ทั้งขับเน้นอิสระทางด้านความคิดของคุณออกมาได้อย่างสมบรูณ์แบบ
อีกทั้งยังบ่งบอกได้ถึงรสนิยมชั้นสูงได้เป็นอย่างดี


ที่มา http://www.pop.co.th

‘ยีนส์สั้น’ ฮอทรับลมร้อน


‘ยีนส์สั้น’ ฮอทรับลมร้อน
อากาศร้อนแบบนี้ มาพร้อมกับแฟชั่นฮอทพอ ๆกันกับ ‘ยีนส์สั้น’ที่กลายเป็นชุดเก่งของสาวๆ ช่วงซัมเมอร์ไปแล้ว
นอกจากใส่สบายคลายร้อน เทรนด์ปัจจุบันยังมิกซ์แอนด์แมตช์กับเสื้อผ้าได้หลาย
พร้อมลุยทุกสถานการณ์แบบนี้สาว ๆ ชอบ



พูดถึง ‘ยีนส์สั้น’ ถือเป็นไอเทมหลัก ที่อาจเรียกได้ว่าจำเป็นสำหรับเสื้อผ้าลำลอง
ยุคนี้โดดเด่นด้วยการดีไซน์เสริมสไตล์ใหม่ ๆ ที่แตกต่าง และมีเอกลักษณ์ในยีนส์แต่ละแบบ
สำหรับสีที่กำลังพีค มีทั้งเฉดสียีนส์โทนเข้ม และสีฟอกฟ้าคราม รวมไปถึงยีนส์ขัด ขาด และเซอร์
สาว ๆ นิยมใส่ขนาดพอดีตัว ทั้งแบบยีนส์สั้นพับปลาย แบบจั๊มปลายขา แบบเว้าด้านข้างเล็กน้อย
ช่วยอัพหุ่นให้ดูเพรียว ใส่กับรองเท้าส้นสูงเสริมลุคสุดเท่ห์ ในวันสบาย ๆ ใส่กับรองเท้าหุ้มส้นแฟชั่นดูทะมัดทะแมง
ที่สำคัญมิกซ์แอนด์แมตช์กับเสื้อได้หลายแนว เลือกใช้ให้เหมาะกับโอกาสก็สามารถดูดีได้

ที่มา เดลินิวส์

วิธีเลือกชุดเจ้าสาว


วิธีเลือกชุดเจ้าสาว
สำหรับสาวๆ ที่ใฝ่ฝันอยากเป็นเจ้าสาวกัน หรือสาวที่กำลังจะเตรียมตัวเป็นเจ้าสาว
วันนี้เรามีแฟชั่น ชุดเจ้าสาวสวยๆ มากฝาก เผื่อว่าจะเอาไปใช้เป็นแนวทางในการตัดสินใจเลือกชุดได้นะจ๊ะ
แต่ที่สำคัญเลือกชุดที่เหมาะกับตัวเองเนี่ย ดีที่สุดแล้วจ๊ะ เรามีคำแนะนำการเลือกชุดตามรูปร่างมาให้ว่าที่เจ้าสาว
ได้ลองอ่านเพื่อใช้เป็นตัวช่วยในการเลือกแบบชุดได้ง่ายขึ้น

1. เจ้าสาวหุ่นนาฬิกาทราย
เจโลเมืองไทยอย่ามัวแต่เขินอายกับส่วนสัดอัดแน่นของคุณเป็นอันขาด แทนที่จะหมดความมั่นใจ
คุณควรใช้มันให้เป็นประโยชน์โดยเริ่มตั้งแต่สวมชุดชั้นในที่ช่วยกระชับและดันทรงขึ้น สวมเสื้อคอปาดหรือเปิดไหล่
แล้วใส่กระโปรงทรงหางปลา มีระบายบานตั้งแต่ช่วงเข่า ระวังอย่าบานสูงเกินไป เพราะจะทำให้สะโพกดูใหญ่ขึ้น

2. เจ้าสาวรูปร่างสูงโปร่ง
ใครๆ ก็ว่า หุ่นดีใส่อะไรก็ไม่น่าเกลียด เห็นจะจริง แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ควรประมาท การเลือกชุดที่เรียบ ดูหรูหรา
เช่น ตัดเย็บจากผ้าซาติน ผ้าไหมจะยิ่งเพอร์เฟ็คท์มาก แต่ถ้ากลัวจะเพรียวชะลูดเป็นเสาธง
สีขาวควรเลือกท่อนล่างทรงสุ่มหรือทรงบาน จะทำให้คุณมีด้านกว้างมากขึ้น
และช่วยสร้างสมดุลของแขนขาไม่ให้เก้งก้างเกินงาม หรือเลือกชุดที่ใช้ผ้าแนวเฉียง เพราะจะรับกับรูปร่างของคุณ
ได้อย่างดี หลีกเลี่ยงเสื้อแขนยาว คอตั้ง และอย่าใส่เครื่องประดับทรงยาวๆหรือเกล้ามวยสูง ๆ บนศรีษะ
เพราะยิ่งเสริมความสูงของคุณให้ยิ่งมากขึ้นไปอีก เดี๋ยวเจ้าบ่าวจะกลายเป็นคนแคระได้นะคะ

3. เจ้าสาวหุ่นลูกแพร์
หรือช่วงล่างใหญ่กว่าช่วงบน ควรเลือกกระโปรงทรงเอ-ไลน์ จะช่วยอำพรางเนื้อส่วนเกินและต้นขาของคุณได้
ควรหลีกเลี่ยงกระโปรงทรงแนบลำตัว หรือใช้วิธีใส่เสื้อเปิดไหล่ เกาะอก หรือเสื้อคอวีลึก
เพื่อดึงความสนใจไปช่วงบนแทน

4. เจ้าสาวอวบ
ถ้าอกอวบ หลีกเลี่ยงชุดเกาะอก สายสปาเกตตี้ หรือเปิดไหล่เพราะจะทำให้คุณดูโป๊เกินจริง
เลือกชุดที่เป็นสายอ้อมคล้องคอไปผูกไว้ด้านหลัง เส้นของเสื้อจะทำให้ช่วงบนคุณดูเล็กลง
แต่ถ้าอวบทั้งตัว(แต่อกไม่ใหญ่เกินไป) ควรใส่เสื้อแบบ bodice(เสื้อรัดรูปที่มีเชือกไขว้สลับไปมา)
เพื่อเน้นส่วนโค้งเว้าให้ดูชัดเจนยิ่งขึ้น หรือใส่เสื้อคอกว้าง แขนยาว มีระบายหรูหราตรงปลายแขน
ก็ช่วยอำพรางต้นแขนอวบ ๆ ได้ อย่างดี
ท่อนล่าง เลือกชุดที่มีช่วงต่อบริเวณสะโพก ด้านหน้ากระโปรงเป็นทรงเอ-ไลน์
ส่วนด้านหลังจะบานลงไปเฉย ๆ หรือว่าบานย้วยก็สวยเหมือนกัน

5. เจ้าสาวรูปร่างเล็ก
สาวไซส์มินิควรใส่ชุดแต่งงานที่เรียบๆ เข้าไว้ ไม่มีลูกเล่นหรือรายละเอียดมากนัก
ถ้าเป็นไปได้ เลือกชุดที่เปิดไหล่หรือเกาะอก ดูเซ็กซี่เสริมบุคลิก
แต่ถ้าเป็นคนไหล่ลู่ ควรเลือกเสื้อคอกว้าง แขนล้ำ เพราะผ้าบริเวณหัวไหล่จะช่วยให้พื้นที่ไหล่คุณกว้างขึ้น
หลีกเลี่ยงชุดที่มีรอยต่อรอบเอว เพราะจะทำให้ตัวคุณเหมือนถูกตัดเป็นสองท่อน เผลอๆดูแล้วเหมือนขาสั้นผิดปกติ
ควรเลือกชุดที่มีรอยต่อใต้อกหรือชุดที่ไม่มีเส้นตัดขวางช่วงเอว จะทำให้ดูขายาวขึ้น
ที่สำคัญ ไม่ควรพิสมัยชุดฟูๆพองๆเกินเหตุ เพราะจะเสริมด้านกว้างของคุณให้มากขึ้นจนดูคล้ายขนมถ้วยฟูเดินได้

6. เจ้าสาวทรงตรง
ควรเลือกชุดเจ้าสาวแบบเรียบ ไม่หวือหวานมากนัก ท่อนบนอาจตัดเป็นคอร์เซตพอดีตัว เพื่อเน้นอกและเอว
แต่ระวัง ถ้าผอมมาก อย่าเลือกชุดที่เปิดช่วงคอมากนัก เพราะจะเห็นไหปลาร้า
ควรเลือกชุดที่มีคอปิด เช่น คอกลม จะช่วยอำพรางได้ดีกว่า
ส่วนถ้ารู้ตัวว่าหน้าอกเล็ก ท่อนบนควรใช้ผ้าเนื้อบางเบา เช่น ผ้าชีฟอง ผ้าลูกไม้ ผ้าเดรฟ มาช่วยตกแต่ง

7. เจ้าสาวรูปร่างเตี้ย
ไม่ควรใส่ชุดเข้ารูปมากนัก เพราะจะเน้นให้เห็นความเตี้ยชัดเจน
ควรตัดชุดยาว ไม่มีช่วงต่อระหว่างอกและเอว ช่วยให้ลำตัวดูยาวขึ้นหรือใช้กระโปรงทรงเอ-ไลน์
เพราะจะดูชะลูดกว่ากระโปรงยาวทรงตรงธรรมดา เทคนิคที่ดีคือ ควรตัดชายกระโปรงด้านหน้าให้สั้นเสมอหลังเท้า
ส่วนด้านหลังปล่อยชายกระโปรงลากยาว ความยาวของชายกระโปรงด้านหลังจะช่วยสร้างเส้น ทำให้ดูสูงเพรียวขึ้น

8.เจ้าสาวเอวหนา
ควรเลือกชุดที่ไม่เน้นช่วงเอว แต่ไปต่อใต้อก แล้วปล่อยชายที่เหลือลงมาหลวม ๆ
ช่วยพรางความหนาของเอวให้ดูบางลงได้

เรื่องจาก http://www.narak.com

อัพเดทเทรนด์ ‘โชว์เข่า’


อัพเดทเทรนด์ ‘โชว์เข่า’
อัพเดทแฟชั่นเสื้อผ้าของสาว ๆ ช่วงซัมเมอร์นี้ ‘สเกิร์ต' หลากสไตล์ หวนกลับมาอีกครั้ง
พร้อมกับคอลเลคชั่นสดใสรับลมร้อน ปีนี้นอกจากผ้าชีฟองแล้ว ยังมีดีไซน์และใช้เนื้อผ้าหลากหลายขึ้น
แต่ยังคงเน้นการสวมใส่สบาย ด้วยสไตล์ที่สะท้อนความเป็นหญิง
กระโปรงจึงถูกหยิบมามิกแอนด์แมตช์กับเสื้อผ้าเมื่ออยากจะเปลี่ยนลุคเป็นสาวหวานซ่อนเปรี้ยว นอกจากนี้
ยังมีคอลเลคชั่นปรับชายกระโปรงเป็นทรงบอลลูน ช่วยเพิ่มความน่ารักเซ็กซี่ให้สาวๆ ได้เลือกใส่ตามโอกาส
ส่วนจะใส่อย่างไรให้อินเทรนด์นั้น
หากมีความสั้นขนาดมินิสเกิร์ตก็อย่าลืมสวม ‘เลกกิ้ง' สีพื้นไว้ด้านใน
สำหรับสาวเปรี้ยว จะสนุกกับการใส่กระโปรงกลุ่มสีสดนวล เขียว เหลือง ส้ม เสริมลุคให้ดูสดใส

อยากเป็นสาวหวาน เลือกกระโปรงโทนสีพาสเทล หรือสีเอิร์ธโทน จะช่วยให้มิกแอนด์แมตช์กับเสื้อผ้าง่ายขึ้น
เสริมด้วยแอคเซสเซอรี่กระเป๋า สร้อยคอ ช่วยขับโทนสีอ่อนให้ดูเด่น
สำหรับงานปาร์ตี้ เน้นกระโปรงแนวมินิสเกิร์ตปักเลื่อมเล็กน้อย สะท้อนความวาวเป็นสาวปาร์ตี้เกิร์ล
พร้อมสวมรองเท้าส้นสูงโชว์ความเพรียวของเรียวขา ช่วยให้ช่วงตัวดูสูงโปร่ง

แค่นี้สาว ๆ ก็สามารถสวยสุภาพ เปรี้ยวโฉบเฉี่ยวได้อย่างอินเทรนด์.


ที่มา เดลินิวส์

ที่คาดผม”แฟชั่น สุดฮิตของสาว “โบฮีเมียน”


ที่คาดผม”แฟชั่น สุดฮิตของสาว “โบฮีเมียน”
ช่วงนี้ถ้าสังเกตบนเรือนผมของทั้งสาวน้อยสาวใหญ่ ก็จะเห็น “ที่คาดผม”
ซึ่งกลายเป็นเทรนด์ใหม่มาแรงของแฟชั่นนิสต้ายุคนี้

“ที่คาดผม” เดิมทีเป็นเทรนด์ที่มาพร้อมๆกับการแต่งกายของสาว “โบฮีเมียน” สาวที่ชื่นชอบการแต่งกายสไตล์
รกรุงรัง คือไม่พิถีพิถันในเรื่องการแต่งกายมากนักชอบใส่เสื้อผ้าแบบเนื้อบางเบาและชอบใส่เครื่องประดับต่างๆ
เช่น แหวน สร้อยข้อมือข้อเท้า ลูกปัดร้อยเป็นเส้นๆ และที่คาดผม เพื่อเสริมลุคให้ดูเป็นตัวของตัวเองมากที่สุด
ซึ่งสาวๆ ที่ชื่นชอบการแต่งกายสไตล์นี้ส่วนใหญ่จะเป็นพวกที่รักอิสระไม่ชอบอยู่ในกรอบและกฎเกณฑ์ตายตัว

ด้วยความไม่หยุดนิ่งของโลกแฟชั่น วันเวลาผ่านไปนานเข้า แฟชั่นเดิมๆ ก็หวนกลับมาให้ได้รับความนิยมอีกครา
ดังนั้น จึงทำให้การแต่งกายของสาว “โบโฮ” โดยเฉพาะที่คาดผม กลับมาฮิตในยุคสมัยนี้อีกครั้ง

แต่การกลับมาของที่คาดผมในยุคนี้กลายเป็นแฟชั่นที่สร้างสีสันให้กับสาวๆ ให้ตื่นเต้นมากกว่าเดิม
เพราะมีดีไซน์แปลกตาและเก๋ไก๋ให้เลือกสวมใส่เข้าชุดกับเดรสสั้น เดรสยาวหรือกางเกงขาสั้นที่กำลังฮิต
รวมไปถึงที่คาดผมสำหรับออกงานกลางคืนที่ประดับด้วยคริสตัลแพรวพราว

ดาว พนักงานขายสินค้ากิฟท์ชอปแห่งหนึ่งย่านสยามสแควร์เล่าว่า แฟชั่นนี้เริ่มจากดาราฮอลลีวูดที่ลุกขึ้นมาใช้ที่
คาดผมแบรนด์เนมเพื่อเพิ่มความเก๋ให้กับเสื้อผ้าหน้าผม จากนั้นก็เริ่มแพร่ระบาดมายังเอเชียและเมืองไทย
โดยมีดารานางแบบใส่ที่คาดผม ประกอบเข้าฉากในละครและใส่ออกงาน
จึงทำให้กลายมาเป็นแอคเซสเซอรี่ลำดับต้นๆ ที่ลูกค้าแวะเวียนเข้ามาเลือกซื้อมากที่สุด

สำหรับรูปแบบนั้นก็มีหลากหลาย เป็นแบบมีโบอยู่ข้างๆ หรือตรงกลาง โดยมีลักษณะเหมือนมีริบบิ้นมาพันเป็นโบ
ซึ่งรูปแบบนี้ถือว่าสำเร็จรูปมากที่สุด ต่อมาเป็นแบบหินสีๆ หรือเพชรพลอย
ประดับคริสตัลให้แวววาว และแบบริบบิ้นที่ใช้ผ้าลูกไม้ต่างๆ ที่มีลักษณะยาวหน่อย
ซึ่งส่วนใหญ่นำมาโพกศีรษะและปล่อยทิ้งชายผ้าให้ยาวลงมา


นอกจากนี้ ยังมี “เชือกคาด” หรือ “อันดา” เพราะมีลักษณะเป็นเส้นๆ เหมือนสาวชาวเกาะใส่กัน
ซึ่งมีทั้งแบบเกลียวถัก หรือเปียหลากสี ซึ่งหลายคนจะนำมาคาดที่บริเวณตรงกลางหน้าผาก หรือเพิ่มความเซ็กซี่
ขึ้นมาอีกนิดโดยการนำมาคาดที่บริเวณตีนผมเหนือหน้าผากก็ได้รับความสนใจจากแฟชั่นนิสต้าไม่น้อย

“แบบที่ลูกค้าสนใจมากที่สุดคือแบบที่ประดับด้วยเพชรพลอยหรือคริสตัล เพราะใส่ได้ทั้งกลางวันและกลางคืน
จากนั้นก็จะเป็นริบบิ้นผ้าลูกไม้แล้วปล่อยชายให้ยาว เพราะสามารถใส่ได้ทุกโอกาส” ดาวแจกแจง



วิธีใส่ที่คาดผมให้สวย

1. ใส่คาดผมอันเล็กๆ แล้วคาดที่โคนผมชิดหน้าผาก
แล้วรวบผมมาด้านหลังเป็นหางม้าหรือปล่อยให้ยาวสลวยก็ได้

2. ใช้มูสแบบเพิ่มความหนาลงบนผม แล้วให้นิ้วมือเซ็ททรงผมเพื่อทำให้ผมพองดูสวย
จากนั้นจึงม้วนผมข้างหลังเป็นมวยหลวมๆ แล้วใช้ที่คาดผมห่างจากโคนผมสัก 3 ซม.

3. รวบผมเป็นหางม้าหลวมๆ ต่ำๆ แล้วม้วนผมเหน็บเข้าไปข้างใต้ ใช้กิ๊บตรึงให้แน่น
แล้วใช้ริบบิ้นสีแทนที่คาดผม โดยผูกโบน่ารักๆ ไว้ที่ด้านข้าง หรือผูกเงื่อนหลวมๆ ไว้ใต้ผมก็ได้
สำหรับสาวผมสั้นหรือผมหน้าม้า ให้ใช้ที่คาดผมอันเล็กๆ หรือไม่ก็อันใหญ่สักหน่อยคาดช่วงกลางศีรษะ
แล้วปล่อยผมเหลือจอนด้านข้างเล็กน้อย ก็เท่ไม่เบา

4. ถ้าใช้ที่คาดผมแบบผ้าสี ริบบิ้น หรือผ้าลูกไม้ต่างๆ ควรโพกปิดส่วนหน้าผากนิดหน่อย
ส่วนตรงปลายที่เหลือของผ้าก็ให้นำมาไว้ข้างๆ ไหล่ ด้านซ้ายหรือขวาก็ได้

ที่มา http://www.globalfashionreport.com

วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ดูแลผิวพรรณในช่วงหน้าฝน

ดูแลผิวพรรณในช่วงหน้าฝน

หน้าฝนต้องดูแลผิวหนังเป็นพิเศษ เพราะความชื้นในอากาศ เหมาะกับการก่อตัวของเชื้อโรคบางชนิดเป็นอย่างดี
จึงควรหาวิธีรับมือกันเสียตั้งแต่ตอนนี้

ความชื้นในอากาศช่วงฤดูฝน เหมาะอย่างยิ่งกับการก่อตัวของเชื้อโรคบางชนิด ซึ่งก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ ได้ง่าย
ไม่ว่าจะเป็น โรคไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ที่กระแสการระบาดแพร่เชื้อในวงกว้างของประเทศไทยในขณะนี้
ทำให้บุตรหลาน ต้องหยุดเรียนกันเป็นอาทิตย์ ผู้ปกครองจึงควรให้การดูแลใส่ใจบุตรหลานเพิ่มมากขึ้น
ส่วนโรคทางด้านผิวหนังที่ต้องระวังเป็นพิเศษ ได้แก่

1. พิษแมงกะพรุนไฟ เป็นปัญหาที่พบเวลาเล่นน้ำทะเล ช่วงหน้าฝน แล้วเกิดไปโดนแมงกะพรุนไฟ
ซึ่งมีพิษอยู่บริเวณหนวดของมัน เมื่อถูกผิวหนัง กระเปาะพิษจะเกาติดผิว และปล่อยสารพิษออกมา
พิษของมันจะทำให้เกิดอาการปวดแสบปวดร้อน คัน ไหม้ คล้ายแผลถูกน้ำร้อนลวก

ในฤดูฝนหลังฝนตกใหม่ ๆ หรือหลังเกิดพายุ
กระเปาะพิษจะล่องลอยตามกระแสน้ำมาอยู่กันอย่างหนาแน่น บริเวณชายฝั่ง พบมากแถวชายทะเลชะอำ หัวหิน
และภูเก็ต ผู้เล่นน้ำต้องป้องกันโดยใส่เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว
ถ้าถูกแมงกะพรุนไฟรักษาโดยเร็วใช้น้ำส้มสายชูเทราดบริเวณที่ถูกพิษ เพื่อทำลายพิษ หรือใช้ผักบุ้งทะเล
หรือน้ำทะเลล้างทำลายพิษ ห้ามใช้น้ำจืดหรือแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้กระเปาะพิษแตก

2. เชื้อราที่เท้า หรือน้ำกัดเท้า หรือฮ่องกงฟุต
เพราะหน้าฝน น้ำท่วมอาจต้องไปเหยียบน้ำ ทำให้ถุงเท้าชื้นแฉะ เสื้อตากไม่ค่อยแห้ง หรือใส่กางเกงหนา
และอับชื้นหรือเวลาเกิดการอับชื้นบริเวณขาหนีบ ก่อให้เกิดเชื้อราที่ขาหนีบ

วิธีป้องกัน ควรสวมใส่กางเกงชนิดบาง อย่าสวมเสื้อผ้าหนาเกินไป ถ้ามีเหงื่อออกมากต้องอาบน้ำ
ซับบริเวณขาหนีบให้แห้ง ใช้พัดลมเป่าหรือแป้งโรยเพื่อดูดซับความชื้น

โรคกลากเกลื้อน เป็นอีกโรคหนึ่งที่มักเกิดในช่วงเวลาที่อากาศร้อนอบอ้าว ผิวหนังมีความอับชื้น
ทำให้เกิดความสกปรกและหมักหมม เชื้อราที่ทำให้เกิดกลากเกลื้อน พบได้จากดิน จากสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ
จึงควรรักษาความสะอาด ตามร่างกาย และทำให้แห้งเสมอ

3. สิว มาได้อย่างไร
สิวมัก มากับช่วงหน้าร้อน และต่อหน้าฝน เนื่องจากอากาศที่ร้อนผสมความชื้น เหงื่อ และไขมันบริเวณรูขุมขน
จะเกิดมากกว่าช่วงหน้าหนาว การหมักหมมของเชื้อโรค ฝุ่นละออง
จะทำให้เชื้อแบคทีเรียเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว เลยทำให้เกิดสิวอักเสบง่ายขึ้น

ดังนั้น ช่วงหน้าฝนจึงต้องหมั่นดูแลรักษาผิว และทาครีมป้องกันสิว
เพื่อผิวพรรณที่สะอาด ปราศจากสิวและโรคผิวหนัง ไปตลอดนะคะ



โดย : แพทย์หญิงกานต์ชนก พานิช
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ

อยู่อย่างไรให้ชนะ...ภูมิแแพ้และหอบหืด

อยู่อย่างไรให้ชนะ...ภูมิแแพ้และหอบหืด
จาก คำแนะนำขององค์การอนามัยโลกกรณีการรักษาโรคภูมิแพ้และหอบหืด ว่าควรทำควบคู่กันไปพร้อมกัน
เพื่อป้องกันไม่ให้อาการกำเริบจนอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต
เพราะในปัจจุบัน สองโรคนี้มีแนวโน้มซับซ้อนมากขึ้น คำแนะนำดังกล่าวเป็นการเปิดเผยจากรายงานเรื่อง
Allergic Rhinitis and Its Impact on Asthma (ARIA) ขององค์การอนามัยโลก

ศ.นพ.ปกิต วิชยานนท์ นายกสมาคมโรคภูมิแพ้และอิมมูโนวิทยาแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า
ปัจจุบันคนไทยป่วยเป็นโรคภูมิแพ้กันมากขึ้น โดยผู้ที่ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ ซึ่งเป็นโรคเรื้อรัง
มักจะป่วยเป็นโรคอื่นที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันร่วมด้วย เช่น หอบหืด ผื่นแพ้ทางผิวหนัง โรคภูมิแพ้ทางตา
อาการแพ้ต่างๆ เช่น แพ้ยา แพ้อาหาร ลมพิษ

สำหรับผู้ป่วยโรคหอบหืดนั้น ส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 60-80 มักมีโรคภูมิแพ้แฝงอยู่
ขณะเดียวกันผู้ป่วยที่เป็นโรคภูมิแพ้ ก็จะมีโอกาสเป็นโรคหอบหืดได้มากกว่าคน ปกติถึงสามเท่า
ดังนั้น หากคนไทยมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคต่างๆ ดังกล่าว
และรู้ถึงแนวทางป้องกันตนเองให้พ้นจากโรค ก็จะสามารถลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรค

สำหรับลักษณะของโรคภูมิแพ้ หืด และภูมิคุ้มกันบกพร่องว่า
เป็นโรคที่เกิดจากระบบภูมิต้านทานของร่างกายทำงานผิดปกติ
โดยมีสาเหตุสำคัญของโรคเกิดจากพันธุกรรม และสิ่งแวดล้อม ได้แก่สารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่น แมลงสาบ หญ้า
มลภาวะ ควันบุหรี่ ซึ่งปัจจุบันพบว่ามีอัตราเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก

นอกจากนี้ สภาวะแวดล้อมในปัจจุบันซึ่งมีมลพิษมากขึ้น
ก็มีส่วนทำให้อาการของผู้ป่วยด้วย โรคนี้กำเริบมากขึ้นตามไปด้วย

ส่วนโรคหอบหืดนั้นเป็นโรคเรื้อรัง ที่มักเกิดตามมาหลังจากป่วยเป็นโรคภูมิแพ้
เนื่องจากโรคภูมิแพ้ทางจมูก ตา หืด และผื่นแพ้ทางผิวหนังมักมีความเกี่ยวพันกัน จากสถิติโดยทั่วไป
ในครอบครัวที่มีบิดามารดาเป็นโรคหอบหืดทั้งคู่ ลูกจะมีโอกาสเป็นโรคหอบหืดประมาณร้อยละ 50
และถ้าบิดาหรือมารดาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นโรคหอบหืดแล้ว ลูกจะมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้ร้อยละ 25

ส่วนโรคหืดนั้น อ.ปกิตกล่าวว่า เป็นโรคที่มีการอักเสบเรื้อรังในหลอดลมทางเดินหายใจ
พบได้กับคนทุกวัยตั้งแต่เด็กเล็กจนถึงผู้ใหญ่
ในประเทศไทยมีประชากรที่กำลังเป็นโรคนี้ประมาณร้อยละ 5-10 หรือเกือบ 3 ล้านคน
และพบว่า มีคนไทยเสียชีวิตจากโรคหืดปีละประมาณไม่ต่ำกว่าพันคน ส่วนใหญ่เป็นเพราะไปถึงมือแพทย์ช้า
เนื่องจากประเมินความรุนแรงของโรคต่ำกว่าความเป็นจริง จนหลอดลมถูกอุดตันเสียแล้ว

ผู้ป่วยโรคหืด มักมีอาการหอบเหนื่อยเป็นๆ หายๆ อย่างเรื้อรัง
ในปัจจุบันแม้จะยังไม่มียาที่ใช้รักษาให้โรคนี้หายขาดได้ แต่ก็มียาที่มีประสิทธิภาพสูง
ใช้ควบคุมอาการ ลดความรุนแรง และป้องกันการจับหืดรุนแรงจนอาจมีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้

ยาที่ใช้ในการรักษาโรคนี้ มีทั้งแบบยาพ่นชนิดสเตียรอยด์ และยารับประทานที่ไม่มีสเตียรอยด์
โดยยารับประทานที่ไม่มีสเตียรอยด์นั้น จะเป็นยาที่ออกฤทธิ์ต้านการอักเสบ
ประสิทธิภาพในการควบคุมโรคของยาดังกล่าว สอดคล้องกับคำแนะนำล่าสุดขององค์กรด้านโรคหืด
และภูมิแพ้ระดับโลก ซึ่งได้แนะนำให้ใช้ยากลุ่มนี้ ในการรักษาคนไข้ที่มีอาการไม่ว่าจะอยู่ในระดับ ใดก็ตาม
โดยยารับประทานที่ไม่มีสเตียรอยด์นั้น เป็นทางเลือกในการควบคุมโรคให้กับคนไข้ที่มีปัญหาในการพ่นยา
ต้องการหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงของสเตียรอยด์
หรือเพื่อใช้ร่วมกับยาพ่นสเตียรอยด์ ในกรณีที่ต้องการควบคุมอาการให้มี ประสิทธิภาพมากขึ้น

"สำหรับภูมิแพ้ที่ร้ายแรงเรียกว่า อะนาไฟแล็กสิส (ANAPHYLAXIS) เป็นปฏิกิริยาภูมิแพ้เฉียบพลัน
ซึ่งเกิดขึ้นภายในเวลา 15-30 นาทีหลังจากได้รับสารก่อภูมิแพ้ เช่น อาหาร ยา ผึ้ง ต่อ แตน
และมีผลกระทบทั่วทั้งร่างกาย อาการที่พบประกอบด้วยอาการทางผิวหนัง
ซึ่งพบได้มากที่สุดประมาณกว่าร้อยละ 90 ได้แก่ เป็นผื่นแดง คันตามตัว เป็นลมพิษ และอาการอื่นๆ ได้แก่
น้ำมูกไหล คัดจมูก เสียงแหบ ไอ หายใจลำบาก แน่นหน้าอก คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน ปวดท้อง หัวใจเต้นเร็ว
ท้องอืด ปวดศีรษะ ความดันโลหิตลดต่ำ เวียนศีรษะ เป็นลมหมดสติ ช็อก ซึ่งต้องให้การบำบัดอย่างเร่งด่วน "

นายกสมาคมโรคภูมิแพ้และอิมมูโนวิทยาแห่งประเทศไทย ยังได้แนะนำต่อไปอีกว่า
เนื่องจากความล่าช้าในการวินิจฉัย และรักษาอาจเป็นสาเหตุให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้
ในกรณีที่ผู้ป่วยหรือคนใกล้ชิดมีอาการแพ้อาหาร แพ้ยา เหล็กในผึ้ง ต่อ แตน หรือมดคันไฟอย่างรุนแรง
ควรแนะนำให้พกหลอดยาฉีดบรรจุอิพิเนฟริน (EPINEPHRINE) อัตราส่วน 1:1000
เพราะการตัดสินใจฉีดยานี้เข้ากล้ามเนื้อต้นขาอย่างรวดเร็ว อาจจะช่วยชีวิตไว้ ได้
ในกรณีที่ผู้ป่วยสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ ที่ทำให้เกิดอาการแพ้อย่างรุนแรงมา ก่อนนี้ได้

"ถึงแม้ว่าโรคภูมิแพ้ ภูมิคุ้มกันบกพร่อง และหอบหืดนั้น ส่วนใหญ่เป็นโรคเรื้อรัง ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้
แต่เราสามารถควบคุมอาการของโรคได้ องค์กรด้านโรคหืด และภูมิแพ้ระดับโลกเชื่อว่า
หากผู้ป่วยโรคหืดได้รับการบำบัดรักษาที่เหมาะสม แล้ว ผู้ป่วยส่วนมากจะสามารถควบคุมอาการได้
ไม่มีปัญหาข้อจำกัดในการนอนหลับ หรือการทำกิจกรรมในชีวิตประจำวัน
ตลอดจนความบกพร่องในการทำงานของปอด และการใช้ยารักษาช่วยชีวิตแบบเฉียบพลัน

ผู้ป่วยควรเรียนรู้ที่จะรับมือกับโรคดังกล่าวได้อย่างถูกต้อง เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงของโรค
ด้วยการหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ เช่น
การซักเครื่องนอนด้วยน้ำร้อนและคลุมที่นอนเพื่อกำจัดและป้องกัน ไรฝุ่น
กำจัดแมลงสาบในบ้าน ไม่เลี้ยงสัตว์เลี้ยงมีขนไว้ในบ้าน
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
หลีกเลี่ยงอาหาร ยา แมลงที่ตนเองแพ้ ไม่สูบบุหรี่ รวมถึงการหลีกเลี่ยงควันธูป ควันท่อไอเสีย
พักผ่อนให้เพียงพอ
ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
และทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด"
อ.ปกิตทิ้งท้าย


ที่มา http://www.healthcorners.com/2007/news/Read.php?id=1632
ภาพจาก http://www.askwhiz.com/blog/category/

โรคที่เกิดจากคอมพิวเตอร์

โรคที่เกิดจากคอมพิวเตอร์
ทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งวัน ดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติสำหรับผู้คนยุคสมัยนี้
ถึงแม้จะให้คุณอนันต์ แต่ว่าคอมพิวเตอร์ก็มีโทษเหมือนกัน ล่าสุด ที่ทำให้ตกใจกันทั่วคือ
เมื่อนักวิจัยชาวอังกฤษได้ทำการศึกษาและพบว่า คีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์นั้น
เป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียอันตรายมากกว่าโถสุขภัณฑ์ถึง 5 เท่า!!!
และทำให้ผู้ใช้ท้องเสียโดยไม่รู้ตัว ไม่เพียงเท่านั้นยังมีอีกหลายโรคที่เกิดเพราะคอมพิวเตอร์


* ท้องร่วงเพราะคีย์บอร์ด
โรคที่ตั้งชื่อตามตัวอักษรชุดแรกบนแป้นคีย์บอร์ดว่า Qwerty Tummy อาจระบาด
ในที่ทำงานได้ หากว่าแป้นคีย์บอร์ดมีแบคทีเรีย ซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคอาหารเป็นพิษ
และผู้ใช้รับประทานอาหารไปพร้อมกับใช้งานคีย์บอร์ดเครื่องคอมพ์ด้วย

การศึกษาครั้งนี้ แสดงว่าคีย์บอร์ดเป็นแหล่งเพาะแบคทีเรียที่น่ากลัวด้วยคนทำงาน 1 ใน 10
ไม่เคยทำความสะอาดคีย์บอร์ด และ 20% ไม่เคยทำความสะอาดเมาส์
ขณะที่ 50% ไม่เคยทำความสะอาดคีย์บอร์ดภายในเวลาหนึ่งเดือน
นอกจากนี้ ด้วยรูปแบบการทำงานสมัยใหม่ ที่พนักงานต้องย้ายโต๊ะทำงานไปเรื่อยๆ
ทำให้พวกเขาไม่มีทางรู้ว่า ใครใช้คีย์บอร์ดที่กำลังใช้อยู่และใช้งานอย่างไรบ้าง

ทางแก้ไขคือ
ผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์จึงควรทำทั้งที่บ้านและที่ทำงานควรทำความสะอาดคีย์บอร์ดเป็นประจำ
ไม่ให้เป็นแหล่งสะสมของเชื้อแบคทีเรีย วิธีการคือ ทำความสะอาดด้วยผ้าเนื้อนุ่มชุบน้ำหมาดๆ
ที่สำคัญคือ อย่าลืมถอดปลั๊กคอมพิวเตอร์ก่อน

* โรคอื่นๆ อีกมากมาย
คอมพิวเตอร์จะไม่เป็นอันตราย หากว่าคุณไม่ใช้มันจนติดเป็นนิสัย ซึ่งหมายความว่า
นั่งจมจ่อมอยู่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์เกือบจะตลอดวันและทุกวัน คนที่ใช้คอมพิวเตอร์บ้าง
เป็นบางครั้งคราวย่อมไม่ได้เจ็บป่วยเพราะคอมพิวเตอร์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น แต่ละคนก็จะได้รับผล
กระทบจากเครื่องใช้ไฮเทคนี้มาก-น้อยช้า-เร็วไม่เหมือนกัน
หลายๆอาการเจ็บป่วยจากคอมพิวเตอร์นั้น อาจจะเป็นสิ่งที่เรารู้กันดี แต่บางครั้งก็หลงลืม
ลองมาทบทวนกันดูหน่อยดีไหม


ปวดตา :
การใช้คอมพิวเตอร์ทำให้ตาต้องจ้องจอสว่างๆ จึงเป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาเรื่องสุขภาพสายตา
จึงควรระวังแสงที่จะส่องตรงมา โดยเฉพาะแสงจากด้านหลังของจอคอมพิวเตอร์
ควรให้แสงเข้ามาด้านข้าง (ด้านขวาก็จะดี) ถ้าเป็นไปได้ให้ติดแผ่นป้องกันรังสี
รวมทั้งปรับความสว่างของจอให้เหมาะสมกับดวงตา การอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน
ไม่เพียงทำให้เกิดอาการปวดตาเท่านั้น แต่อาจเป็นสาเหตุของโรคต้อหินในอนาคตด้วย
โดยเฉพาะในหมู่ผู้ที่สายตาสั้น นอกจากนี้ จอคอมพิวเตอร์ที่สั่นไหวหรือเป็นคลื่นนั้นควรจะ
ยกไปซ่อมซะ ควรละสายตาจากจอบ้างเป็นครั้งเป็นคราว กะพริบตาเป็นระยะ
เพราะดวงตาของคุณต้องการความชุ่มชื้น


โรคเส้นประสาทบริเวณข้อมือถูกกดทับ :
ปรับระดับความสูงของเก้าอี้หรือโต๊ะที่วางคอมพิวเตอร์ เพื่อให้ข้อศอกอยู่ในมุม 90-100 องศา
วางคีย์บอร์ดให้เหมาะ เวลาใช้คีย์บอร์ดจะได้ไม่ต้องงอมือให้อยู่ในท่าที่ไม่สะดวกสบาย
ควรวางข้อมือบนโต๊ะหน้าคีย์บอร์ดถ้าหากจำเป็น ควรพิมพ์คีย์บอร์ดและใช้เมาส์อย่างเบามือ
ถ้ามีเวลาก็ออกกำลังกายข้อมือและนิ้วบ้าง
หากสามารถทำงานด้วยวิธีการอื่นโดยไม่ใช้คอมพิวเตอร์ก็ลุกขึ้นจากโต๊ะและทำซะ


ปวดคอและหลัง :
สำรวจท่านั่งเวลาทำงานของตัวเอง ควรนั่งตัวตรง ห่างจากจอคอมพิวเตอร์ประมาณ
18-24 นิ้ว เก้าอี้ที่ดีควรจะมีล้อ สามารถปรับพนักพิงได้ และต้องมีที่วางแขน
โต๊ะควรจะมีพื้นที่ว่างสำหรับวางเครื่องมืออื่นๆ ในการทำงาน

และสุดท้ายที่อยากตระหนักกันให้มากคือ อันตรายคลื่นลูกใหม่ที่มาจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
และหลอดภาพของจอคอมพิวเตอร์ เมื่อเราเปิดเครื่องใช้ก็จะมีรังสีแผ่ออกมา จึงไม่ควรนั่ง
ใกล้จอเกินไป โดยเฉพาะเวลาใช้แล็ปท็อปซึ่งทำให้เราต้องนั่งใกล้เครื่องมากกว่าพีซี
ถ้าเป็นไปได้ให้ใช้แผ่นป้องกันรังสีหรือเลือกใช้จอคอมพิวเตอร์ที่ไม่แผ่พลังรังสีไฟฟ้าออกมา
แม้ราคาจะแพงกว่า แต่ปลอดภัยกว่า หากไม่ใช้เครื่องก็ควรปิด
โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์ที่ตั้งอยู่ในห้องนอน

รู้แล้วก็ลงมือทำซะวันนี้ ถึงแม้ว่าคอมพิวเตอร์จะไม่ฆ่าเราทันทีทันใด แต่คงจะเป็นเรื่องที่ดีกว่า
ถ้าเราไม่เสี่ยงกับการเกิดโรคภัยเหล่านี้ เพื่อนๆที่ใช้คอมพิวเตอร์ทุกวัน
ต้องหมั่นเช็ดทำความสะอาด พักสายตา ยืดเส้นยืดสาย ขยับร่างกายกันบ้างนะครับ
ไม่งั้นโรคถามหาแน่นอน


โรคที่เกิดจากคอมพิวเตอร์
ข้อมูลจาก Posttoday

goodhealth ทำอย่างไรเมื่อปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ


goodhealth ทำอย่างไรเมื่อปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ
โรคกระเพาะปัสสาวะไวเกิน เป็นได้อย่างไร
เกิดจากกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะบีบตัวบ่อยและเร็วกว่าปกติ ทำให้ผู้ป่วยมีอาการปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ
(มากกว่า 8 ครั้งต่อวัน) รวมทั้งต้องลุกขึ้นมาปัสสาวะ ตอนกลางคืนบ่อยๆ จนรบกวนการนอนหลับปกติ
เวลาปวดปัสสาวะ จะรู้สึกปวดปัสสาวะอย่างรุนแรง และต้องรีบเข้าห้องน้ำอย่างเร่งด่วน เพราะทนกลั้นปัสสาวะไม่ได้
และน้อยครั้งที่จะกลั้นอยู่ อาจมีปัสสาวะ เล็ดราด เนื่องจากไม่สามารถทนกลั้นปัสสาวะได้ จากการรีบด่วนนั้น
ภาวะนี้ทำให้ผู้ป่วยเกิดความรำคาญ ไม่กล้าเข้าสังคม มีผลต่อความสะอาดของบริเวณช่องคลอด และขาหนีบ
ผู้ป่วยจะไม่อยากไปไหน เนื่องจากไม่มั่นใจว่า จะมีห้องน้ำอยู่ใกล้ๆ บริเวณที่จะไปหรือไม่


อะไรคือสาเหตุ
สาเหตุ ส่วนใหญ่ของสภาวะกระเพาะปัสสาวะไวเกินยังไม่ทราบแน่ชัด
เชื่อว่าเกิดจากระบบประสาทที่บริเวณกล้ามเนื้อของกระเพาะปัสสาวะผิดปกติ
ทำให้กล้ามเนื้อบีบตัวบ่อยและไวกว่ากำหนด โดยที่ยังมีปริมาณปัสสาวะไม่มากพอที่จะทำให้รู้สึกปวดปัสสาวะ
สาเหตุอีกส่วนหนึ่ง คือ พบร่วมกับภาวะการอักเสบ ติดเชื้อของระบบทางเดินปัสสาวะ
ภาวะหมดประจำเดือนและโรคทางระบบประสาทบางชนิด


สตรีวัยไหน
อาจพบได้ในสตรีทุกช่วงอายุ แต่อุบัติการจะพบมากในช่วงอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป
โรคนี้ไม่ได้เกิดเนื่องจากการที่มีอายุเพิ่มขึ้น ทางการแพทย์ถือเป็นความผิดปกติอย่างหนึ่งและเป็นภาวะที่รักษาได้


รักษาได้อย่างไร

1. การควบคุมปริมาณน้ำที่รับประทาน ให้รับประทานน้ำตามปกติ ไม่ให้ทานมากเกินไป
เพราะจะทำให้ปวดปัสสาวะบ่อย ในกรณีที่ผู้ป่วยทานยาขับปัสสาวะอยู่นั้น อาจให้ปรับเวลาทานยาขับปัสสาวะใหม่ให้
เหมาะสม รวมทั้งควบคุมอาหารปริมาณน้ำ และสารบางอย่างที่มีฤทธิ์ขับปัสสาวะด้วย เช่น ชา,กาแฟ

2. ใช้ยาควบคุมการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะ ยาที่เป็นยาหลักในการรักษาคือ ยาในกลุ่ม
Anticholinergic จะออกฤทธิ์คลายการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะ ทำให้ลดการบีบตัวที่
ไวเกินปกติของกระเพาะปัสสาวะ การใช้ยาจะต้องมีการปรับขนาดยาให้เหมาะต่อผู้ป่วยแต่ละราย
ยาในกลุ่มนี้มีหลายชนิด ต่างกันที่ราคา และผลข้างเคียงของยา

3. การฝึกกระเพาะปัสสาวะ โดยการฝึกควบคุมระบบประสาทที่ควบคุมการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะ
เป็นการฝึกเพิ่มช่วงระยะเวลาของการเข้าห้องน้ำให้ห่างออกไป เช่น จากเดิมต้องเข้าทุกๆ 1 ชั่วโมงให้เพิ่มเป็น
1 ชั่วโมงครึ่งและ เพิ่มเป็น 2 ชั่วโมงตามลำดับ เป็นการฝึกให้กระเพาะปัสสาวะเก็บปัสสาวะให้มากพอ
โดยไม่มีอาการบีบตัวไวกว่าปกติ เป็นการฝึกกกลั้นปัสสาวะ โดยฝึกที่ระบบประสาทส่วนกลาง (สมอง)
ซึ่งส่งสัญญาณควบคุมความรู้สึกปวดปัสสาวะให้ยืดยาวออกไป
ผู้ป่วยควรขมิบช่องคลอดร่วมด้วย ซึ่งจะลดอาการอยากถ่ายปัสสาวะลง

4. การใช้ไฟฟ้ากระตุ้นที่เส้นประสาทบริเวณก้นกบ (Sacral nerve stimulation)
การใช้ไฟฟ้ากระตุ้นที่เส้นประสาทบริเวณก้นกบ จะช่วยลดการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะลง
การรักษาโดยวิธีนี้ ต้องมีการผ่าตัดฝังตัว กระตุ้นสัญญาณไฟฟ้าที่หน้าท้อง และกระดูกก้นกบด้วย
และต้องมีการทดสอบในช่วงแรกว่าได้ผล จึงผ่าตัดฝังเครื่องชนิดถาวร (อยู่ได้ 5 ปี)
การรักษาวิธีนี้ มีราคาแพง และยังอยู่ในระหว่างการวิจัย

5. การผ่าตัด มีการผ่าตัดกระเพาะปัสสาวะบางส่วน
หรืออาจนำลำไส้เล็กบางส่วนมาเย็บต่อกับกระเพาะปัสสาวะ เพื่อทำให้การบีบตัวไม่มีผลทำให้ปวดปัสสาวะบ่อย
การผ่าตัดมีผลแทรกซ้อนมาก และนิยมทำในรายที่รักษาโดยการใช้ยาแล้วไม่ได้ผล

6. วิธีการอื่นๆ เช่นการใช้ยาหรือสารบางชนิด
เช่น Capsaicin ใส่ไปในกระเพาะปัสสาวะซึ่งยังอยู่ในระหว่างทดลอง


แหล่งข่าว กรุงเทพธุรกิจ

goodhealth ป้องกันอาการปวดคอ


goodhealth ป้องกันอาการปวดคอ
สาเหตุของการปวดคอที่พบบ่อย

1. อิริยาบถ หรือ ท่าทางที่ไม่ถูกต้อง เช่น
-การแหงนหน้า หรือ ก้มหน้าทำงานทั้งวัน เช่น ผู้ทำงานเย็บจักร ซักผ้า เขียนหนังสือ ช่างซ่อมรถ
-นอนในท่าที่คอพับ หรือ บิดไปข้างใดข้างหนึ่ง นอนหนุนหมอนที่สูง หรือ แข็งเกินไป

2.ความเครียดทางจิตใจ ซึ่งอาจทำให้เกิดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อคอ
ทำให้มีอาการปวดต้นคอ ปวดศีรษะบริเวณท้ายทอย ภายหลังจากการทำงาน หรือภายหลังจากมีปัญหาขัดแย้ง

3.อุบัติเหตุ ที่ทำให้มีการเคลื่อนไหวของคอมาก หรือ รวดเร็วกว่าปกติ
ทำให้กล้ามเนื้อเส้นเอ็นฉีกขาด หรือ กระดูกคอเคลื่อน

4.กระดูกคอเสื่อม ซึ่งพบได้ในผู้ที่สูงอายุทุกคน แต่มีบางคนเท่านั้นที่มีอาการมากจนต้องได้รับการรักษา
สำหรับการเอ๊กซเรย์กระดูกคอจะพบว่ามีกระดูกงอกที่บริเวณขอบ ๆ ข้อต่อ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สามารถพบได้
ในคนสูงอายุทั่วไปที่ไม่มีอาการเลยก็ได้ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องเอ๊กซเรย์ทุกคน

5.ข้ออักเสบ เช่น ในผู้ป่วยที่เป็นโรค รูมาตอยด์

6.กลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อ ซึ่งยังไม่ทราบว่าเกิดจากสาเหตุอะไร จะมีอาการปวดในกล้ามเนื้อ
และปวดมากขึ้นเมื่อกล้ามเนื้อนั้นถูกใช้งาน รู้สึกว่า กล้ามเนื้ออ่อนแรง มีบริเวณที่กดเจ็บชัดเจน
และอาจจะคลำได้ก้อนพังผืดแข็ง ๆ ในบริเวณที่กดเจ็บ


การรักษาเบื้องต้น
40.imageshack.us/img140/1083/96891158zo5.gif> 1.พยายามพักผ่อนให้มาก ทางที่ดีควรนอนราบ หนุนหมอน ซึ่งหมอนที่ดี ควรมี
- ความนุ่มและยืดหยุ่นสามารถแนบส่วนต่าง ๆ โดยเฉพาะบริเวณส่วนโค้งของก้านคอ
- ความหนาที่พอเหมาะ เมื่อนอนหนุนหมอนแล้วมองด้านข้างคอจะอยู่ในแนวตรง คอไม่แหงน หรือไม่ก้ม

40.imageshack.us/img140/1083/96891158zo5.gif> 2.ประคบด้วยน้ำแข็งหรือน้ำอุ่น โดยใช้น้ำแข็งทุบใส่ในถุงพลาสติกแล้วห่อด้วยผ้าขนหนู
หรือ ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่น ประคบประมาณ 10 -15 นาที

40.imageshack.us/img140/1083/96891158zo5.gif> 3.รับประทานยาแก้ปวด เช่น ยาพาราเซตามอล แอสไพริน ทุก 4-6 ชั่วโมง
อาจใช้ครีมนวดแก้ปวด ก็ได้แต่ต้องระวังอย่านวดแรงเพราะจะทำให้กล้ามเนื้อฟกช้ำมากขึ้นไปอีก

40.imageshack.us/img140/1083/96891158zo5.gif> 4.ทำกายภาพบำบัด
-บริหารกล้ามเนื้อคอ
-ใส่ปลอกคอ ซึ่งใช้เฉพาะรายที่จำเป็นเท่านั้น
-ถ่วงน้ำหนักดึงกระดูกคอ
-ประคบบริเวณที่ปวดด้วย ความร้อน ความเย็น หรือ คลื่นเสียงอัลตร้าซาวน์

อาการปวดมักจะดีขึ้นภายใน 2-3 วัน แต่ยังไม่หายสนิทให้กินยาแก้ปวดต่อไป
และ ฝึกการบริหารเพื่อให้คอเคลื่อนไหวดีขึ้น และ ออกกำลังกล้ามเนื้อคอ ให้แข็งแรงมากขึ้น

่ถ้าอาการต่อไปนี้ควรปรึกษาแพทย์
1. มีอาการปวดร้าวไปที่ไหล่ แขน โดยอาจจะมีอาการชา หรือ กล้ามเนื้อมืออ่อนแรง ร่วมด้วย
2. มีอาการอ่อนแรงของขา เวลาเดินรู้สึกว่าขาจะสั่น ๆ หรือ รู้สึกขา กระตุก ๆ
3. กลั้นอุจจาระหรือปัสสาวะ ไม่ได้ ทำให้มีอุจจาระ หรือปัสสาวะราด
4. อาการปวดไม่ดีขึ้น หรือปวดเพิ่มมากขึ้น


การป้องกันอาการปวดคอ
1.ระวังอิริยาบถ หรือ ท่าทางที่ไม่ถูกต้อง
-อย่าให้คอต้องก้ม เงย นานเกินไป หรือ ก้ม เงย บ่อยเกินไป
ควรหยุดพักเพื่อบริหารกล้ามเนื้อคอ หรือเคลื่อนไหวคอสัก 2 - 3 นาทีทุก ๆ ชั่วโมง

-การนอนควรนอนบนที่นอนแข็งพอสมควร นอนหนุนหมอนที่นุ่มและยืดหยุ่นพอที่จะแนบส่วนต่าง ๆ
โดยเฉพาะบริเวณส่วนโค้งของก้านคอและมีความหนาพอเหมาะที่จะทำให้คออยู่ในแนวตรงเมื่อมองจากด้านข้าง
ไม่ทำให้คอแหงนหรือก้มมากเกินไป อย่านอนคว่ำอ่านหนังสือหรือดูทีวี

2.หมั่นออกกำลังกล้ามเนื้อของคอทุก ๆ วัน ให้บ่อยมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ (ทำมากได้มาก )

3.พยายามลดความเครียดจากชีวิตประจำวัน โดยการออกกำลังกายและพักผ่อนให้เพียงพอ
เพื่อจะได้มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี


การบริหารกล้ามเนื้อคอ
1. ทำให้กล้ามเนื้อคอเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น
-ก้มและเงยหน้า ก้มหน้าให้คางจรดกับอก แล้วค่อย เงยหน้าให้แหงนไปด้านหลังให้มากที่สุด
-ตะแคงซ้ายขวา หน้าอยู่ตรง ๆ ตะแคงซ้าย พยายามให้หูจรดไหล่ซ้าย
โดยไม่ยกไหล่ กลับที่เดิมแล้วตะแคงขวาให้หูจรดไหล่ขวาโดยไม่ยกไหล่
-หันหน้าซ้ายขวาหมุนศีรษะให้หน้าหันไปด้านซ้าย ให้ปลายคางอยู่ในแนวเดียวกับไหล่ซ้าย
แล้วหมุนกลับไปด้านขวาให้ปลายคางอยู่ในแนวไหล่ขวา

2. ทำให้กล้ามเนื้อคอแข็งแรงขึ้น โดยเกร็งกล้ามเนื้อ-คอ ประมาณ 10 วินาที (นับหนึ่งถึงสิบ)
ทำซ้ำ 10 ครั้ง พยายามทำโดยให้คอและหน้าอยู่ในแนวตรง
-ก้มคอ ใช้ฝ่ามือดันที่หน้าผากต้านกับความพยายามที่จะก้มศีรษะลง นับหนึ่งถึงสิบ
-เงยหน้า ใช้ฝ่ามือประสานกัน ที่บริเวณเหนือท้ายทอยแล้วดันมาข้างหน้า
ต้านกับความพยายามที่จะแหงนหน้าไปข้างหลัง นับหนึ่งถึงสิบ
-ตะแคงคอ ใช้ฝ่ามือซ้ายดันที่ข้างศีรษะเหนือหูซ้าย ต้านกับความพยายามที่จะตะแคงศีรษะไปด้านซ้าย
นับหนึ่งถึงสิบ แล้วสลับกับด้านขวาทำแบบเดียวกัน
-หันหน้า ใช้ฝ่ามือซ้ายดันที่ข้างศีรษะหน้าหูซ้ายต้านกับความพยายามที่จะหันหน้าไปด้านซ้าย
นับหนึ่งถึงสิบ แล้วสลับกับด้านขวาทำแบบเดียวกัน

โดย นพ.พนมกร ดิษฐสุวรรณ์

goodhealthเคล็ดลับเพื่อการนอนหลับที่ดี


goodhealthเคล็ดลับเพื่อการนอนหลับที่ดี
การนอนหลับเป็นการพักผ่อนที่มีควาสำคัญที่สุด หลายๆ คนอยากนอนหลับให้ได้เต็มที่ในทุกคืน
เพื่อเตรียมร่างกายและจิตใจให้พร้อมสำหรับการทำงานในวันถัดไป ขอนำเสนอเคล็ดลับเพื่อการนอนหลับที่ดีกัน

1. ทำกิจวัตรอย่างสม่ำเสมอ
อย่านอนตื่นสายเมื่อมีโอกาส (เช่นวันสุดสัปดาห์)หากเราทำอย่างนั้นแล้ว,เราอาจนอนไม่หลับในคืนวันอาทิตย์
เช้าวันจันทร์ จะรู้สึกอ่อนเพลียมากทีเดียว เราควรเข้านอนและตื่นนอนในเวลาเดิมทุกๆ วัน
การใช้นาฬิกาปลุกนั้น ก็ไม่จำเป็น


2. อย่ารับประทานอาหารเข้าไปมาก ๆ ก่อนเข้านอน
ควรที่จะรับประทานอาหารมื้อใหญ่ๆ ก่อนเข้านอนอย่างน้อย 2 ชั่วโมง
หากดื่มน้ำเข้าไปมาก เราอาจต้องตื่นมาเข้าห้องน้ำหลายครั้งในกลางดึก
ควรรับประทานอาหารที่ทำให้ร่างกายหลั่งสารซีโรโทนิน (Serotonin)ซึ่งจะทำให้ง่วง เช่น
อาหารจำพวกแป้ง ได้แก่ ขนมปังหรือธัญพืชต่างๆ อย่าดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลล์เมื่อใกล้เวลาเข้านอน
เนื่องจากว่า แอลกอฮอลล์ อาจทำให้ตื่นขึ้นมาบ่อยๆ,กรน,และอาจทำให้มีการหยุดหายใจเป็นพักๆ


3. ควรหลีกเลี่ยงสารคาเฟอีน และ นิโคตีน
เนื่องจากว่าเป็นสารที่มีฤทธิ์กระตุ้นประสาท และเป็นสารเสพติดอีกด้วย สารเหล่านี้กระตุ้นประสาทจนนอนไม่หลับ


4. นอนเวลากลางคืนเท่านั้น อย่านอนกลางวันเป็นเวลานานๆ โดยเด็ดขาด
หากจะนอนกลางวันจริงๆ ก็ให้นอนงีบ ครั้งละไม่เกิน 20 นาที
สำหรับคนที่ทำงานกลางคืนแล้วต้องนอนตอนกลางวันนั้น ควรที่จะบังแสงสว่างให้ห้องให้มืดมากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้
เพราะแสงสว่างนั้นจะมีผลต่อ "นาฬิกา " ของร่างกายเรา ทำให้นอนไม่หลับ


5. อย่าให้มีเสียงรบกวนความเงียบนั้น
จะทำให้เราหลับได้ดีและสบายขึ้น ปิดวิทยุหรือโทรทัศน์เสีย
หรือใช้เครื่องอะไรก็ได้ที่ทำให้เกิดเสียงเบาๆ แบบสม่ำเสมอ เช่น พัดลม เพื่อกลบเสียงต่างๆ ที่เราไม่สามารถ
ควบคุมได้เช่น เสียงการจราจร,เสียงเครื่องบิน


6. อาบน้ำแล้วนอน
การอาบน้ำอุ่นจะช่วยทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว ช่วยให้หลับสบาย


7. ควรเข้านอนเมื่อเรารู้สึกว่าเราอ่อนเพลียแล้ว
ปิดไฟ แล้วนอนลง หากไม่หลับภายใน 15 นาที ควรลุกขึ้นมาทำอะไรก็ได้จนกว่าจะรู้สึกว่าอ่อนเพลียอีกครั้ง
แล้วลงนอนใหม่ อย่ากังวลว่านอนไม่หลับ ความกังวลจะยิ่งทำให้หลับยากมากขึ้น


8. ไม่ควรใช้ยานอนหลับเป็นอันขาด
ยกเว้นว่าจะมีความจำเป็นจริงๆเท่านั้น และควรใช้ตามดุลย์พินิจของแพทย์เท่านั้น

เคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ นี้คงช่วยให้ท่านนอนหลับฝันดีในคืนนี้ได้นะครับ

ผศ. ดนัย บวรเกียรติกุล
ที่มา : http://www.elib-online.com

goodhealth สิว ไม่ใช่แค่เรื่องผิวๆ


goodhealth สิว ไม่ใช่แค่เรื่องผิวๆ
ใครจะคิดว่าปัญหาเล็กๆ แค่เรื่องสิวๆ ธรรมดาๆ จะทำให้เกิดอาการแพ้ขึ้นมาได้ถ้ามีการรักษาไม่ตรงจุด
เพราะอย่างที่เรารู้กันอยู่แล้วว่า การเกิดสิว มีสาเหตุมาจากฮอร์โมนในร่างกาย
แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เจ้าฮอร์โมนในร่างกายที่ว่านี้แปรปรวน ตับและไตเริ่มเสียสมดุล
อาจเป็นเหตุก่อให้เกิดอาการผิดปกติต่างๆ ขึ้นมาได้ โดยเฉพาะในคนที่ใช้ยารักษาสิว
ซึ่งมีส่วนผสมของโรแอคคิวเท็นต่อเนื่องนานนับปี จนร่างกายเริ่มรวน อาจมีอาการแพ้ยา
จนในที่สุดจะมีผื่นแดงทั่วร่างกาย นั่นคือสัญญาณอันตรายของหน้าพังแล้ว

แต่เมื่อปัญหาเกิดแล้วใช่ว่าจะไม่มีทางแก้เกี่ยวกับเรื่องนี้
พญ.กอบกาญจน์ ไพบูลย์ศิลป์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านธรรมชาติบำบัด ศูนย์ธรรมชาติบำบัดบัลวี ได้ออกมาบอกว่า
โรแอคคิวเท็นเป็นกรดวิตามินเอยอดฮิตในการรักษาสิว ที่ช่วยลดการทำงานของต่อมไขมันและต้านการอักเสบ
ส่วนใหญ่แพทย์จะให้ใช้ติดต่อกันราว 3-4 สัปดาห์เท่านั้น แล้วจะค่อยๆ ให้ลดตัวยาลง
ซึ่งหลายคนที่รักษาสิวด้วยยาตัวนี้มักพอใจในผลที่ได้รับ เพราะทำให้ผิวพรรณผ่องใส ไม่มัน
แต่ในขณะเดียวกันก็อาจมีผลข้างเคียง โดยเฉพาะอาการปากแห้ง ผิวแห้ง ตาแห้ง จนใส่คอนแทคเลนส์ไม่ได้
ผิวหน้าร้อนแดง อักเสบ คล้ำขึ้น และไวต่อแสง หรือเครียดง่ายจนมีอาการทางจิต

บางรายเป็นหนักถึงมีอาการจมูกแห้งจนเลือดกำเดาออก คอแห้ง ปากแห้ง เสียงแหบแห้งและคัน ผมร่วง ขนดก
เล็บผิดรูปร่าง ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ แคลเซียมจับกระดูกและเส้นเอ็น กระจกตาอักเสบ เม็ดเลือดแดงและขาวลด
หากใช้นานเกิน 1 ปีอาจมีการสะสมก่อให้เป็นมะเร็งตับได้ หากใช้ขณะตั้งครรภ์ทำให้ทารกพิการได้ถึง 30%
รวมทั้งห้ามใช้เด็ดขาดในผู้ป่วยโรคตับ ไต ผู้มีภาวะวิตามินเอสูงเกิน ผู้ที่มีระดับไขมันในเลือดสูง

ควรใจเย็นกับการรักษาอาการสิวจากการใช้อาหารธรรมชาติบำบัด เช่น กินข้าวกล้อง ผักผลไม้สดให้มาก
เพราะมีวิตามินซี ช่วยสร้างคอลลาเจน มีเบต้าแคโรทีนสูง จะช่วยลดอาการอักเสบ ทำให้จุดด่างดำจางลง
เมล็ดฟักทองช่วยเรื่องการอักเสบ ถึงจะหายช้าแต่ก็มั่นใจว่าไม่อันตรายและยังราคาถูกอีกด้วย

ที่สำคัญ เพื่อป้องกันเจ้าสิววายร้ายตัวฉกาจของใบหน้า
เราต้องดูแลรักษาทำความสะอาดใบหน้าให้สะอาดอย่างสม่ำเสมอ เช้า-เย็น ด้วยสบู่อ่อนๆ
แต่ไม่ใช่ว่าจะล้างกันบ่อยๆ นะค่ะ เพราะอาจจะทำให้หน้าแห้งได้
และอย่าลืมพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียดนะค่ะ เพราะอาการเหล่านี้อาจจะนำมาซึ่งสิวได้
เพียงแค่นี้เจ้าสิว ก็จะเป็นเพียงแค่เรื่องสิวๆ ได้แล้วละค่ะ


หมายเหตุ ที่มา : ไทยโพสต์

ยอดเคล็ดลับพิชิตกลิ่นปาก

ยอดเคล็ดลับพิชิตกลิ่นปาก


แนะเลิกบุหรี่-ลดเครียด งดอาหารกลิ่นแรง

สาเหตุของกลิ่นปาก
ส่วน ใหญ่เกิดจากเศษอาหารที่ตกค้างอยู่ตามซอกฟัน บริเวณที่ทำความสะอาดได้ยาก
หรือในรูฟันผุ ซึ่งจะมีเศษอาหารเน่าอยู่ รวมทั้งแผ่นคราบฟันและหินปูนที่อยู่รอบๆ ฟัน
ซึ่งเป็นที่เก็บกักและสะสมเชื้อโรคต่างๆ

บาง คนพบว่าเหงือกเป็นหนองจากโรคปริทันต์ หรือมีฟันโยก
อาหารบางชนิดเมื่อรับประทานจะมีกลิ่นขับออกมาทางลมหายใจ เช่น หัวหอม กระเทียม ทุเรียน
ผู้ที่ดื่มสุรา หรือสูบบุหรี่เป็นประจำ หรือท้องผูกหลาย ๆ วัน ก็ทำให้เกิดกลิ่นปากได้
รวมทั้งผู้ป่วยโรคทางร่างกายบางอย่าง
เช่น ต่อมทอนซิลอักเสบ ไซนัสอักเสบเรื้อรัง วัณโรค โรคปอด และโรคระบบทางเดินอาหาร

ภาย หลังตื่นนอนใหม่ๆ กลิ่นปากจะแรง เพราะในขณะที่นอนหลับน้ำลายจะถูกขับออกมาน้อย
ทำให้น้ำลายมีการหมุนเวียนน้อย เศษอาหารที่ตกค้างสะสมอยู่จึงมีการบูด เกิดเป็นกลิ่นปากค่อนข้างแรง
เมื่อตื่นนอนได้แปรงฟัน และน้ำลายมีการไหลเวียนมากขึ้น กลิ่นปากก็บรรเทาลง

น้ำลาย เปรียบเสมือนน้ำยาบ้วนปากที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมา ช่วยชะล้างสิ่งสกปรกภายในช่องปาก
เมื่อมีน้ำลายหลั่งออกมากทำให้ช่องปากสะอาดมากกว่าน้ำลายที่หลั่งออกมาน้อย
ช่วยลดการบูดเน่าของอาหารที่ทำให้เกิดกลิ่น

น้ำลาย จะหลั่งออกมาได้มากในขณะเคี้ยวอาหาร รับประทานของเปรี้ยว หรือการคิดถึงอาหารอร่อยๆ ที่ชอบ
ในบางขณะจะมีการหลั่งน้ำลายน้อย เช่น เวลานอน ภาวะอดอาหาร การดื่มน้ำไม่เพียงพอ อากาศร้อน
ตลอดจนภาวะทางจิตใจ ความเครียด อาชีพที่ใช้เสียงมากๆ เช่น ครู ทนายความ
มีผลให้มีน้ำลายน้อย และมีกลิ่นปากได้

กลิ่น เหม็นจากช่องปากบางครั้งเกิดขึ้นได้จากโคนลิ้นด้านในสุด เนื่องจากมีน้ำเมือกในช่องจมูกไหลลงคอ
ซึ่งในภาวะเช่นนี้ ไม่จำเป็นว่าจะเกิดจากการเจ็บป่วยหรือเป็นโรค แต่มักมีสาเหตุมาจากอาการภูมิแพ้
น้ำเมือกที่ไหลลงคอในระยะแรก ๆ จะไม่ทำให้เกิดกลิ่นปาก สัก 2 - 3 วัน
แบคทีเรียจะย่อยน้ำเมือกทำให้เกิดกลิ่น

เรา สามารถทดสอบกลิ่นโดยใช้ช้อนพลาสติกขูดเบา ๆ ที่ด้านในสุดของโคนลิ้น ปล่อยทิ้งไว้สักครู่จึงดมดู
และกรณีคนที่มีกลิ่นปากจากสาเหตุนี้ เวลาเป่าปากจะไม่ค่อยได้กลิ่น แต่จะเหม็นเมื่อเริ่มพูด
เนื่องจากมีลมผ่านลิ้นที่เคลื่อนไหวจึงทำให้เกิดกลิ่นขึ้นมา ดังนั้น จึงควรแปรงลิ้นหลังการแปรงฟันทุกครั้ง
และแปรงให้ลึกถึงโคนลิ้น จะช่วยทำความสะอาดน้ำเมือกที่ตกค้างนี้ได้

สรุป ว่ากลิ่นปากเกิดได้จากหลายๆ สาเหตุหากแก้ไขที่ต้นเหตุได้ก็จะเป็นวิถีทางที่ดีที่สุด
เพราะการใช้ของสำเร็จรูปนั้นเป็นเพียงการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าและชั่วคราว เท่านั้น

สำหรับกลิ่นปากในเด็ก ท่านผู้ปกครองไม่ต้องกังวลว่าจะเด็กจะมีโรคเหมือนผู้ใหญ่
เพราะว่าสาเหตุส่วนใหญ่ของกลิ่นปากเกิดจากในปาก สาเหตุที่พบบ่อย ได้แก่ สุขอนามัยไม่ดี มีเศษอาหารและ
เชื้อแบคทีเรียเหลือตามซอกฟัน เด็กมักจะมีกลิ่นมากมากในตอนเช้า หากเป็นมากจะมีตอนสาย
บางรายเด็กไม่มีอาการปวดฟันแต่มีฟันผุ
ที่พบบ่อย คือ ไซนัสอักเสบทั้งเฉียบพลันและเรื้อรังสามารถทำให้เกิดกลิ่นปากได้

นอก จากกลิ่นปากเด็กโดยมากจะเกิดอาการ น้ำมูกไหล ไอกลางคืน คออักเสบ
เด็กจะมีไข้เจ็บคอ และมีกลิ่นปาก โรคภูมิแพ้ทำให้มีเสมหะไหลไปที่คอทำให้เกิดกลิ่นปาก
ท่านผู้ปกครองควรสอนให้เด็กแปรงฟัน และล้างปาก
เลือกแปรงที่มีขนาดเหมาะกับปากและมีขนอ่อนนุ่มพอควรพร้อมยาสีฟัน ยาสีฟันควรมีสารฟลูออไรด์
ควรแปรงฟันพร้อมเด็ก ให้เด็กแปรงฟันวันละ 2 ครั้ง สอนเด็กใช้ไหมขัดฟัน
หากเห็นเศษอาหารติดที่คอก็ให้เด็กกรวกคอบ้วนปากทันที


กลเม็ดพิชิตกลิ่นปาก

อย่าปล่อยให้ปากแห้ง เพราะเมื่อปากแห้งความเข้มข้นของแบคทีเรียในปากจะเพิ่มมาก
ทำให้เกิดกลิ่นปากได้ง่าย

ดื่มน้ำมากๆ ช่วยล้างแบคทีเรียออกจากน้ำลาย

แปรงฟันทุกครั้งหลังอาหาร และอย่างลืมแปรงด้านบนของลิ้น อันเป็นที่เกิดของแบคทีเรียด้วย

ใช้ไหมขัดฟันวันละ 2 - 3 ครั้ง

ถ้าไม่สะดวกจะแปรงฟัน ให้บ้วนปากด้วยน้ำเปล่าหรือน้ำยาบ้วนปาก

เคี้ยวหมากฝรั่งชนิดที่ไม่มีน้ำตาล

เคี้ยวใบผักชีฝรั่งหรือกานพลูหลังมื้ออาหาร

งดอาหารกลิ่นแรง เช่น กระเทียม หอมใหญ่ พริกไทย และเนยแข็ง

หลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟ หรือเครื่องดื่มอื่นๆ ที่ทำให้เกิดกลิ่นปาก

กินอาหารให้ครบหมู่ แม้ว่าคุณจะกำลังลดความอ้วนอยู่ก็ตาม

เลิกสูบบุหรี่

ตรวจสุขภาพฟันสม่ำเสมอ

ที่มา: ไอ.เอ็น.เอ็น.

วิธีกำจัด “ถุงใต้ตา”

วิธีกำจัด “ถุงใต้ตา”



ผิว หนังบริเวณใต้ตานั้นบอบบางและหลวมอยู่แล้ว
เนื้อเยื่อและกล้ามเนื้อบริเวณใต้ตาจะเริ่มเสื่อมสลายเมื่ออายุมากขึ้น ทำให้เปลือกตาล่างมีรอยพับเกิดขึ้น
ไขมันใต้ผิวหนังจะถูกดันออกมาเพราะกล้ามเนื้อไม่กระชับ ทำให้เห็นเป็นถุงใต้ตา
นอกจากนั้นระบบการไหลเวียนของน้ำเหลืองที่ไม่ดี ก็จะทำให้น้ำมาคั่งบริเวณนี้ ทำให้ผิวรอบดวงตาบวม
วันนี้มารู้จักสาเหตุและวิธีการแก้ไขปัญหาถุงใต้ตากันค่ะ

ถุงใต้ตา มี 2 ลักษณะ คือ ถุงใต้ตาแท้ และถุงใต้ตาเทียม

ถุงใต้ตาแท้
มี สาเหตุหลักมาจากกรรมพันธุ์ เกิดจากระบบต่อมไร้ท่อภายในร่างกายทำงานผิดปกติ
ปกติแล้วคนเราจะมีก้อนไขมันสามก้อนอยู่ใต้ตา ก้อนไขมันเหล่านี้จะค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นไปตามอายุ
แต่สำหรับบางคนที่มีปัญหาถุงใต้ตาแท้ อาจจะสังเกตเห็นถุงใต้ตาได้ตั้งแต่อายุยี่สิบต้นๆ

วิธีการแก้ไขทำ ได้โดยการใช้คลื่นวิทยุ หรือ Radio Frequency (RF) การผ่าตัด และการใช้ยาละลายไขมัน
การใช้คลื่น RF จะช่วยยกกระชับผิวใต้ตา ทำให้ถุงใต้ตาดูเล็กลงเท่านั้น
แต่ไม่สามารถทำให้ปัญหาถุงใต้ตาหายขาดไปได้

ส่วน การแก้ไขโดยการผ่าตัด โดยมากจะช่วยเรื่องถุงใต้ตาได้ดี แต่ช่วยเรื่องรอยคล้ำได้น้อย
นอกจากจะตัดรอยดำออกไปด้วย การผ่าตัดอาจช่วยให้ผิวเรียบเนียนสดใส แต่ก็คงความงามอยู่ได้ไม่นาน
หากขาดการดูแลที่ดี ถุงใต้ตาก็สามารถเกิดขึ้นใหม่ได้ เพราะการผ่าตัดคือ การตัดเอาถุงไขมันใต้ตาทิ้งไป
แต่ปัญหาการสะสมของน้ำและไขมันก็ยังเกิดขึ้นใหม่ได้ตลอดเวลา

เมื่อสภาพผิวเริ่มอ่อนแอลงประกอบกับอายุที่มากขึ้น
กระบวนการซ่อมแซมตัวเองของเซลล์ผิวก็เสื่อมประสิทธิภาพลง
ทำให้การไหลเวียนขับถ่ายของเสียรอบดวงตาบกพร่อง ก่อให้เกิดการสะสมของถุงใต้ตา
และริ้วรอยหมองคล้ำอยู่เรื่อยไป

ส่วน การใช้ยาละลายไขมันนั้นไม่ค่อยปลอดภัยนัก มีรายงานทางการแพทย์ด้วยว่า
เคยมีผู้ใช้วิธีนี้จนกระทั่งตาบอด เนื่องจากเกิดการอักเสบของไขมันมากเกินไปจนส่งผลต่อดวงตา
และอาจจะทำให้ตาบอดได้ในที่สุด



ถุงใต้ตาเทียม
มี สาเหตุมาจากระบบการไหลเวียนโลหิตและน้ำเหลืองในร่างกายไม่ดี ทำให้ของเหลวไปคั่งอยู่ที่ใต้ตา
มักเกิดจากพฤติกรรมต่างๆ เช่น นอนดึก ชอบขยี้ตา ร้องไห้บ่อยๆ ใช้สายตามากเกินไป
ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ แสงแดด ความเครียด การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
ตลอดจนการแพ้สารต่างๆ เช่น มาสคารา

โดย เฉพาะผู้ที่นอนดึกหรืออดนอนเป็นประจำ จะทำให้การไหลเวียนโลหิตไม่ดี สารอาหารในเลือดลดลง
เส้นเลือดตีบ รอยคล้ำชัดเจนขึ้น หากปล่อยทิ้งไว้นานๆ เส้นเลือดจะเปราะแตกง่าย เกิดสารตกค้างใต้ตา
ทำให้ตาคล้ำได้

อย่างไร ก็ตาม ถุงใต้ตาในลักษณะนี้แก้ไขได้ง่ายกว่า เพียงแค่เปลี่ยนพฤติกรรมที่ไม่ดีทั้งหลายดังที่กล่าวมา
แล้วลองนวดที่ดวงตาเบาๆ หรือหมั่นประคบเย็นที่ดวงตาเป็นประจำ อาการดังกล่าวก็จะค่อยๆ ดีขึ้นได้


วิธีป้องกันการเกิดถุงใต้ตา

อย่าให้กล้ามเนื้อตาล้าเกินไป
เช่น หลีกเลี่ยงการนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ ให้พักสายตาทุก 15 นาที ด้วยการมองออกไปไกลๆ
จะช่วยให้ดวงตาไม่เกิดอาการล้า และปรับแสงหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้พอเหมาะ

หากรู้สึกอ่อนล้า ให้นวดเบาๆ และบริหารดวงตาเพื่อคลายความตึงเครียด
ด้วยการกลอกตาไปรอบๆ เป็นวงกลม สัก 5-6 รอบ ใช้นิ้วนางทั้ง 2 นิ้วแตะที่หัวตาแต่ละข้าง คลึงเบาๆ 1-2 วินาที

หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มจัด เพราะจะยิ่งทำให้เกิดอาการบวมมากขึ้น
หลีกเลี่ยงแสงแดดและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
หนุนศีรษะให้สูงเวลานอน และพยายามนอนหงาย เพื่อให้ของเหลวกระจายได้ง่าย
หลีกเลี่ยงการนอนดึกหรืออดนอน การคร่ำเคร่งอ่านหนังสือ และการร้องไห้
อย่าขยี้ตา ถูหรือกดแรงๆ เพราะจะยิ่งทำให้ตาบวมมากขึ้น

ลองใช้แตงกวาแช่เย็นฝานบางๆ หรือถุงชาแช่เย็นวางประคบ ประมาณ 10 นาที

ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อให้ระบบไหลเวียนโลหิตและน้ำเหลืองดีขึ้น

ที่มา ผู้จัดการ

9 ปัจจัยเสี่ยง ‘หลอดเลือดสมอง’

9 ปัจจัยเสี่ยง ‘หลอดเลือดสมอง’
เหล้า-บุหรี่-อ้วน ตัวการก่อโรคร้าย

โรค หลอดเลือดสมองหรือโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต
เป็นโรคที่พบบ่อยเป็นอันดับสามรองจากโรคหัวใจและโรคมะเร็ง
พบได้โดยเฉพาะในผู้สูงอายุและผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง เมื่อเกิดโรคแล้วจะก่อให้เกิดอาการต่างๆ ทางระบบประสาท
ซึ่งเป็นโรคที่มีความผิดปกติของหลอดเลือดสมองที่อาจเป็นได้ทั้งหลอดเลือด สมองตีบ

เกิด จากการที่มีไขมันเกาะตามผนังหลอดเลือด หรือมีการอุดตันของหลอดเลือดสมองจากการที่มีลิ่มเลือดลอย
ไปอุดตันหลอดเลือด ที่มีความเปราะบางกว่าปกติ ทำให้เนื้อสมองบางส่วนถูกทำลายไป
ส่วนมากผู้ป่วยจะมีความผิดปกติของระบบประสาทเกิดขึ้นทันทีทันใดเมื่อมีการอุดตัน
หรือมีการแตก ของหลอดเลือดสมอง

เราจึงควรหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมอง ดังนี้

1. ความดันโลหิตสูง
ภาวะความดันโลหิตสูงทำให้หลอดเลือดเสื่อม เนื่องจากแรงดันเลือด ที่ออกมาจากหัวใจมีแรงดันสูงขึ้น
ทำให้ผนังหลอดเลือดเสื่อมเร็ว ขาดความยืดหยุ่น และแตกเปราะง่าย
พบว่ากว่า 35 - 73% ของผู้ป่วย โรคหลอดเลือดสมอง มีภาวะความดันโลหิตสูงร่วมด้วย

2. เบาหวาน เป็นปัจจัยสำคัญรองมาจากภาวะความดันโลหิตสูง

3. ความอ้วน
ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก มีโอกาสเป็นเบาหวาน และความดันโลหิตสูง หรืออาจเป็นไปได้ทั้ง 2 อย่าง

4. ไขมันในเลือดสูง
ทำให้ผนังเส้นเลือดแดง ไม่ยืดหยุ่น เกิดการตีบตันง่าย เลือดจึงไหลผ่านไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ได้น้อย
ถ้าเกิดกับหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง จะทำให้สมองขาดเลือดและเป็นอัมพาตในที่สุด

5. การสูบบุหรี่และดื่มสุรา การดื่มสุราจะทำให้หลอดเลือดเปราะ หรือเลือดออกง่าย
เช่นเดียวกับผู้ที่สูบบุหรี่จะพบว่ามีอัตราการเกิดโรคหลอด เลือดสมองมากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่

6. ความเข้มข้นของเลือด ถ้ามีฮีโมโกลบินสูงกว่าปกติ ก็มีโอกาสเกิดโรคได้

7. โรคหัวใจ เช่น โรคหัวใจวาย โรคเกี่ยวกับลิ้นหัวใจ

8. ยาต่างๆ เช่น สตรีที่รับประทานยาคุมกำเนิดร่วมกับเป็นความดันโลหิตสูง

9. อายุที่มากขึ้น จะมีความสัมพันธ์ต่อการเสื่อมของหลอดเลือด

เมื่อ เราได้ทราบถึงอันตรายของโรคหลอดเลือดแล้ว
จึงควรที่จะหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดสมองขึ้นกับตัวเรา หรือคนใกล้ชิด
ถ้าไม่อยากเสียชีวิตหรือเป็นผู้พิการไปตลอดชีวิตโปรดใส่ใจสุขภาพสักนิด เพื่อชีวิตที่ยืนยง


ที่มา สยามธุรกิจ

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เทคนิคดื่มน้ำ เพิ่มพลังสุขภาพ


ความใส่ใจเลือกรับประทานอาหารที่ปราศจากสารพิษ อย่าง ผัก ผลไม้ และอาหารที่ผ่านกรรมวิธีแปรรูปน้อยที่สุด ถือเป็นการดูแลรักษาสุขภาพโดยพึ่งพาธรรมชาติตามรูปแบบของ ดร.ทอม อู๋ ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการและการรักษาด้วยวิธีธรรมชาติจากสหรัฐอเมริกา เช่นเดียวกับการดื่มน้ำสะอาดหรือน้ำเปล่าอย่างต่ำ 8 แก้วต่อวัน ซึ่งควรจัดสรรเวลาในการดื่มน้ำให้เหมาะสม และควรดื่มน้ำก่อนมื้ออาหาร 1 ชั่วโมง

สำหรับเทคนิคการดื่มน้ำ ควรเปลี่ยนจากการดื่มเป็นอึก หรือดื่มทีเดียวหมดแก้ว มาเป็นการค่อยๆ จิบ ค่อยๆ กลืน เทคนิคดังกล่าว นอกจากจะไม่ทำให้รู้สึกจุกหรือปวดปัสสาวะหลังจากดื่มน้ำแล้ว ยังเป็นการเติมความชุ่มชื้นให้แก่เซลล์ทั่วร่างกาย ถือเป็นการแก้กระหายและบำรุงร่างกายจากภายในสู่ภายนอก

ทั้งนี้ ดร.ทอม อู๋ ยังแนะนำให้ลำดับการรับประทานอาหารในแต่ละมื้อให้ร่างกายย่อยอาหารได้อย่างสะดวก โดยเริ่มจากการรับประทานผลไม้ก่อน จากนั้นจึงตามด้วยสลัดผักสด ที่จะต้องเคี้ยวคำละ 40 ครั้ง สุดท้ายเป็นอาหารปรุงสุกหรืออาหารจานหลัก

ส่วนเหตุผลที่ให้จัดลำดับการรับประทานอาหารตามคำที่กล่าว เพราะผลไม้เป็นอาหารที่ย่อยง่ายมากกว่าผักสดและเนื้อสัตว์ เพื่อให้ร่างกายได้ย่อยอาหารและดูดซึมสารอาหารที่เป็นประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เทคนิคดื่มน้ำ เพิ่มพลังสุขภาพ

ผิวสวยสมบูรณ์แบบเพียงปลายนิ้วสัมผัส


ผิวสวยสมบูรณ์แบบเพียงปลายนิ้วสัมผัส
ชู อุเอมูระ แบรนด์ดังจากญี่ปุ่นแนะเทคนิคหน้าใสด้วยวิธีการกดจุดที่พัฒนามาจากการฝังเข็มของจีน โดยคำว่า ชิอัตสึ มาจากคำว่า‘ชี'ในภาษาญี่ปุ่นแปลว่านิ้ว ส่วน‘อัทสุ'แปลว่าการกด เมื่อนำมารวมกันจึงหมายถึง การกดด้วยนิ้ว หลักคือการใช้นิ้วหัวแม่มือและฝ่ามือกดจุดที่มีในร่างกายทั้ง 657 แห่ง ประโยชน์เพื่อปรับสมดุลของร่างกาย ให้แข็งแรงกระปรี้กระเปร่า แต่ในที่นี้จะแนะนำการกดจุดบนในหน้าหลังทาครีมบำรุงประจำวัน เพื่อช่วยให้ขั้นตอนการบำรุงผิวมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

การกดจุดบนใบหน้าสามารถทำได้ทั้งหมด 10 จุด โดยแต่ละจุดมีวัตถุประสงค์ต่างกันออกไป เริ่มจากจุดที่ 1 วางนิ้วกลางทั้งสองข้างที่จุดกึ่งกลางปลายคาง แล้ววนขึ้นไปที่ซอกปีกจมูก จุดนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีริ้วรอยรอบปาก

จุดต่อมา ใช้นิ้วกลางทั้งสองข้างกดที่ซอกปีกจมูก และกางมือทั้งสองข้างให้แนบไปกับร่องแก้มขณะที่กดจุด จากนั้นวางมือทั้งสองข้างที่กึ่งกลางใบหน้า ให้นิ้วชี้ทั้งสองข้างกดเบาๆ ที่หัวตา เลื่อนลงมากดซ้ำที่มุมปาก และปีกจมูก ท่าละ 3 วินาทีอีกครั้ง ท่านี้ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือดลมบนผิวหน้า ผิวได้ผ่อนคลายจากความเมื่อยล้า

ท่าต่อไป ลดริ้วรอย และความหมองคล้ำรอบดวงตา โดยวางมือทั้งสองข้างที่กึ่งกลางใบหน้า ใช้นิ้วชี้กดที่หัวตา จากนั้นลากมือทั้งสองข้างไปยังโคนผม ลงมาที่ขมับกดด้วยนิ้วกลาง 3 วินาที แล้วค่อยๆ ลากนิ้วกลางและนิ้วนางจากหางตาผ่านใต้ตาไปยังหัวตา จากนั้นกดที่หัวคิ้วทั้งสองข้างประมาณ 3 วินาที วนกลับที่ขมับตามเดิมโดยลากผ่านเปลือกตาบน


ท่าสุดท้าย ให้ลูบไล้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวผ่านแนวลำคอ จากใต้ติ่งหูใต้กระดูกไหปลาร้ากดเบาๆด้วยปลายนิ้วกลาง ช่วยลดการระคายเคืองผิวได้เป็นอย่างดี

เทคนิคการกดแบบชิอัทสุสามารถนำไปปรับใช้สำหรับผู้ที่บำรุงผิวโดยใช้เอสเซ้นส์ และอิมัลชั่นได้อีกด้วย.

ริมฝีปากสีสวยสุดเร่าร้อน


ริมฝีปากสีสวยสุดเร่าร้อน
ไม่มีเมคอัพชิ้นไหน ที่จะทำให้คุณสาวๆ มีรัศมีของสาวฮอตจับทันตาได้เท่ากับลิปสติกสีแดงอีกแล้ว อยากแนะนำให้สาวๆ เลือกทาลิปสติกสีแดงดู รับรองเลยว่า ปีนี้ของคุณจะรุ่มร้อนขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาแน่ๆ ด้วยทิปเจ๋งๆ แสนง่ายจาก คุณต้น-จีรวัฒน์ วรรธนะวิริยะกุล National Make Up Artist เครื่องสำอาง Lancome

How to Apply

1 ขจัดเซลล์ที่ตายแล้วออกด้วยการสครับริมฝีปากอย่างเบาๆ

2 บำรุงริมฝีปากด้วยลิปบาล์ม โดยใช้ปลายนิ้วนวดเบาๆ เพื่อให้ลิปบาล์มซึมลงริมฝีปากรวดเร็วยิ่งขึ้น

3 ใช้ทิชชูซับลิปบาล์มออก จากนั้นแตะคอนซีลเลอร์ให้ทั่วริมฝีปาก สีคอนซีลเลอร์สามารถใช้สีเดียวกับที่ใช้ตรงใต้ตาก็ได้

4 การทาลิปสติกให้ดูสวยธรรมชาติใสๆ แนะนำให้ทาโดยปล่อยให้ขอบปากเปลือย ไม่ต้องตัดขอบปาก โดยใช้พู่กันแตะเนื้อลิปสติก ลงเป็นรูปตัว v คว่ำที่ขอบปากด้านบน แล้วลากจนมาถึงมุมปาก จากนั้นก็เติมสีให้เต็มในช่องว่างนั้น สำหรับริมฝีปากล่าง ใช้พู่กันวาดเป็นรูปตัว U ตามแนวริมฝีปาก แล้วก็ระบายสีลิปสติกให้เต็มช่องว่างเช่นเดียวกับริมฝีปากบน

Q: ฉันมีปัญหา เวลาเร่งๆ ทาลิปสติกแล้วมักจะเลอะติดฟัน มีวิธีอะไรที่จะแก้ปัญหานี้ได้ไหมคะ

A: ง่ายๆ เลย แนะนำให้ทาแค่ด้านนอกริมฝีปากและเน้นตรงกลางริมฝีปากเท่านั้น ขณะที่ทาลิปสติกก็ไม่จำเป็นต้องอ้าปาก สาวผิวขาวซีดถึงอมชมพู ทาสีแดงได้สวยในทุกเฉด แต่ขอแนะนำให้เลือกเฉดสีลิปสติกที่เน้นให้ริมฝีปากดูเข้มหน่อย จะสวยมากๆ Gwen Stefani สาวผิวสองสี เหมาะกับสีแดงที่ไล่ไปทางเฉดน้ำตาล เบจ หรือนู้ด America Ferrera สาวผิวเข้ม แนะนำลิปสติกสีแดงเฉดที่ไล่จากน้ำตาลจนถึงแดงนู้ด Jessica Szohr Day Look ปากสีแดงก็ดูหวานได้ในลุคกลางวัน ฃองค์ประกอบอื่นๆ บนใบหน้าควรซอฟต์ เพื่อขับให้สีแดงที่ริมฝีปากดูโดดเด่นที่สุด อาจเน้นแค่ขอบตาและขนตาเท่านั้น ไม่แนะนำให้ทาอายแชโดว์ เขียนเส้นอายไลเนอร์เอาแค่เบาๆ แล้วปัดขนตาให้ฉ่ำๆ ก็พอแล้ว Night Look เร่งดีกรีความร้อนแรงของลิปสีแดงด้วยสีตานัวร์ๆ กลางคืนแนะนำให้ทาตาด้วยสีน้ำตาลดำหรือสีเทาควันบุหรี่ โดยไม่ต้องทาให้ดูเป็นสโมกี้อายส์ แค่ไล่สีให้ดูฟุ้งขึ้นมา ลิปสติกดูเลอะเลือนเชียวหลังเขาจูบปากฉัน… แก้ปัญหานี้ด้วยการพับมุมกระดาษทิชชูเป็นรูปสามเหลี่ยมแล้วใช้มุมเช็ดที่ขอบปาก แล้วค่อยเติมลิปสติกทับลงไป “สีเสื้อผ้าเป็นข้อแรกๆ ที่ต้องคำนึงถึง จะสามารถตัดกับลิปสติกสีแดงและทำให้ลุคคุณดูสวยโดดเด่นขึ้นได้หรือเปล่า ที่เห็นบ่อยๆ ก็คงเป็นการตัดกันระหว่างเสื้อผ้าสีดำกับลิปสติกสีแดง ที่ออกมาดูสวยเด่น แต่จริงๆ แล้ว สีแดงสามารถเข้าได้ดีทั้งกับสีเสื้อผ้าโทนร้อนและสีโทนเย็น ยิ่งถ้าสีเสื้อผ้าอยู่ในโทนร้อนด้วยแล้ว ลิปสติกสีแดง (อยู่ในโทนร้อนเหมือนกัน) จะยิ่งช่วยขับความสง่างามของคุณเองออกมาได้มากยิ่งขึ้น” “เดรสสีแดงหรือชุดสีแดง สามารถจับคู่กับลิปสติกสีแดงแล้วดูดีได้ โดยเฉพาะสาวผิวขาวจะทาสีแดงให้เท่ากับกับสีชุดเลยก็ได้ แต่ถ้าคุณมีผิวสีเข้มอาจต้องดรอปความแรงของสีแดงลง เลือกทาเป็นสีแดงอมน้ำตาล แดงน้ำตาลเบจ หรือแดงน้ำตาลอมพีช”

ริมฝีปากสีสวยสุดเร่าร้อน

รายการบล็อกของฉัน